ม.หอการค้าไทยชี้แจกเงินดิจิทัลบูธเศรษฐกิจ1.5 ล้านล้าน หนุนจีดีพี 67 โต 5-7%

ม.หอการค้าไทยชี้แจกเงินดิจิทัลบูธเศรษฐกิจ1.5 ล้านล้าน หนุนจีดีพี 67 โต 5-7%

ม.หอการค้าชี้นโยบายเงินดิจิทัลหมื่นบาทกระตุ้นจีดีพีเพิ่ม 3-4% ดันจีดีพีปี 67 พุ่ง 5-7% ระบุ เม็ดเงินใช้จ่ายจะหมุนถึง 3 รอบ พื้นที่การคลังพร้อมไม่กระทบกรอบวินัยการคลัง

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทวงเงินราว 5.6 แสนล้านบาทของรัฐบาลว่า วงเงินดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นจีดีพีเพิ่ม 3-4% หากนำมาใช้ในปีหน้าจะช่วยให้จีดีพีปีหน้าขยายตัวได้ราว 5-7% ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานว่า การส่งออกของไทยจะสามารถขยายตัวได้ 3-5%

เขากล่าวว่า ด้วยพื้นที่ทางการคลังที่รัฐบาลสามารถเพิ่มระดับการขาดดุลต่อจีดีพีโดยไม่กระทบต่อกรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศที่ราว 4% ต่อจีดีพี ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3%ต่อจีดีพี ขณะที่ ระดับหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ 60% จากเพดาน 70%ต่อจีดีพี จะทำให้รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายดังกล่าวได้ 

อย่างไรก็ดี ตนเสนอว่า รัฐบาลควรทยอยใส่เม็ดเงินของโครงการ เพื่อให้เม็ดเงินการใช้จ่ายได้เข้าไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดทั้งปี โดยอาจกำหนดให้ใช้จ่ายได้ครั้งละ 3 พันบาทต่อรอบเป็นต้น

“เม็ดเงินรวมกว่า 5 แสนล้านบาทนั้น สามารถทำได้แน่นอน โดยจะหมุนเวียนเศรษฐกิจ  2-3 รอบ คิดเป็น1-1.5 ล้านล้านบาท โดยรัฐอาจจะออกแบบการใช้ แบ่งเป็นลอตๆ ลอตละ  3 พันบาท เพื่อกระจายให้เกิดการ กระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นระยะเวลา และกำหนดเงื่อนไขให้ใช้ในการซื้อสินค้าไทย เพื่อให้เม็ดเงินกระจายในประเทศไทยจะทำให้เงินหมุนหลายรอบ หากไม่กำหนดก็เสี่ยงจะรั่วไหลออกไปกับสินค้าต่างประเทศได้”

ส่วนความเป็นห่วงเรื่องหนี้สาธารณะนั้นมองว่าไม่น่าจะกระทบ เพราะสำนักงบประมาณ  มีการวางกรอบการขาดดุลไว้ไม่เกิน 4% ซึ่งจากสถานะทางการเงินตอนนี้อาจจะขาดดุลงบ เพิ่มได้อีกเล็กน้อย ไม่สูงเกินไป

นายธนวรรธน์กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายกรัฐมนตรีจะรับหน้าที่ รมว.คลัง และเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยว่า เพราะรัฐบาลเห็นว่าเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด และตามข่าวคาดว่ารมช.คลัง อาจเป็นอดีตข้าราชการ ซึ่งจะมาช่วยเสริมในเรื่องกฎระเบียบ หากดูรูป แบบเอกชน ซีอีโอจะมอบให้ผู้บริหารระดับสูงทำงาน และยังทีมงานเพื่อไทยที่เคยมีประสบการณ์ เข้ามาช่วยอีกจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งมากขึ้น

สำหรับงานเร่งด่วนที่ต้องทำ คือ การโรดโชว์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้ต่างประเทศ การทำความตกลงเปิดเขตการค้าเสรี  (เอฟทีเอ) การผลักดันตลาดใหม่ อย่างตะวันออกกลาง  และการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ทั้งตะวันออกกลาง เวียดนาม อินเดีย และ รัสเซีย เข้ามาท่องเที่ยวไทยมากขึ้น