Spring Cleaning: Taking stock of higher than expected growth

ในช่วงต้นปีเราได้ให้มุมมองการลงทุนในปีนี้ว่าจะเป็น “The year of cool-down” อย่างไรก็ตามเราพบว่าเศรษฐกิจนั้นยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นได้ดีกว่าที่คาดโดยเฉพาะด้านบริการ

ขณะที่ตลาดแรงงานนั้นยังคงแข็งแกร่งทำให้การบริโภคยังมีการขยายตัวทำให้เงินเฟ้อนั้น ยังไม่ได้ลดลงมากเท่าที่เราเคยคาดการณ์ไว้ส่งผลให้ธนาคารกลางยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อซึ่งประเด็นนี้ยังเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่เพียงแต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมาก นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมายังไม่สามารถกดเงินเฟ้อลงมาได้อย่างที่คาด

แต่กับเริ่มส่งผลลบต่อภาคธนาคารดังที่เห็นการล้มของธนาคารในช่วงที่ผ่านมา และทำให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยเพิ่มมากขึ้นจากภาวะการเงินที่ตึงตัว ทั้งจากอัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับสูง และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

 

ทั้งนี้มุมมองของนักวิเคราะห์ของจูเลียส์ แบร์นั้น ยังคาดว่าเศรษฐกิจประเทศสำคัญนั้นยังคงเติบโตได้ในครึ่งปีแรกการเปิดประเทศของเศรษฐกิจจีนก็เป็นส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกเช่นกัน แต่คาดว่าจะเริ่มเห็นเศรษฐกิจชะลอตัวลงในช่วงปลายปีไปจนถึงปีหน้าจากผลของอัตราดอกเบี้ยสูงที่จะส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจมากขึ้น  

จากข้อมูลข้างต้น นักกลยุทธ์การลงทุนของจูเลียส์ แบร์ได้มีการปรับเปลี่ยนแปลงคำแนะนำการลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 2 ในบางส่วนโดยเริ่มจากมุมมองการลงทุนในตราสารหนี้ ในช่วงที่ผ่านมายังคงมีความผันผวนสูงจากการคาดการณ์ของนักลงทุนในเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่เรียกได้ว่าสวิงกลับไปกลับมา

       อย่างไรก็ตามเรายังคงมองว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางเข้าสู่ช่วงท้ายแล้ว ทำให้เรายังคงแนะนำการลงทุนในตราสารหนี้ กลยุทธ์การลงทุนเราแนะนำให้เข้าลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่คุณภาพดีระยะยาวมากขึ้น ลดการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง (High yield Bond)

      นอกจากนี้เรายังให้น้ำหนักต่อตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากโมเมนตัมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากการเปิดประเทศของจีนและมุมมองต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงจะส่งผลบวกต่อตลาดเกิดใหม่และ Fund flow

ขณะที่ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนรวมไปถึงนักวิเคราะห์มากที่สุด เนื่องจากตลาดหุ้นสำคัญส่วนใหญ่นั้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเป็นผลจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวนั้นปรับตัวลดลง ประกอบกับผลประกอบการในไตรมาส 1 ปีนี้ ที่เริ่มทยอยประกาศนั้นยังคงดีกว่าที่คาดการณ์ไว้

และยังคงรักษาระดับ profit margin หรือความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ในระดับสูงแม้อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นก็ตาม อย่างไรก็ตามจากความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวมากขึ้นในช่วงข้างหน้า เรายังแนะนำให้ใช้กลยุทธ์แบบ Barbell คือลงทุนทั้งในกลุ่มที่เป็น Secular growth ที่ยังคงมีการเติบโตที่ดี (quality growth) ผสมกับหุ้นคุณภาพที่เป็นกลุ่มปลอดภัย (Defensive)

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เราให้น้ำหนักการลงทุนเชิงบวกคือกลุ่มเทคโนโลยี (Technology) กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) และกลุ่มสื่อสาร (Communication) นอกจากนี้หุ้นกลุ่มธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การปิดตัวลงของธนาคาร Silicon Valley Bank และ Credit Suisse เรายังเชื่อว่ากลุ่มธนาคารขนาดใหญ่นั้นยังมีความแข็งแกร่งทำให้ไม่น่าจะเกิดวิกฤตเชิงระบบได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารขนาดใหญ่ในยุโรปนั้นราคามีการปรับตัวลงมาอย่างมากจนทำให้มูลค่าหรือ Valuation ลงมาในระดับต่ำเหมือนกับวิกฤตการเงินในอดีต ทำให้เรามองว่าเป็นโอกาสในกลุ่มนี้เช่นกัน ในด้านตลาดเกิดใหม่เรายังคงมุมมองเป็นกลางเป็นส่วนใหญ่แต่ยังมองโอกาสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย

รวมไปถึงตลาดจีน แม้ในเดือนที่ผ่านมาจะมีการปรับตัวลงซึ่งส่วนใหญ่มาจากความกังวลด้านความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เรายังมองว่าภาคเศรษฐกิจนั้นยังขยายตัวได้ดี การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินจะยังช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศมีการฟื้นตัวต่อเนื่องได้

ทั้งนี้การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ที่สนใจจะลงทุนควรติดต่อเพื่อสอบถามและรับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อศึกษารายละเอียด ทำความเข้าใจเงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและเฟ้นหาการลงทุนที่เหมาะสมได้ที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่าน