กนง. ย้ำ แนวทางดำเนินนโยบายการเงิน พยายามไม่เซอร์ไพรส์ตลาด หวั่นตลาดป่วน

กนง. ย้ำ แนวทางดำเนินนโยบายการเงิน พยายามไม่เซอร์ไพรส์ตลาด หวั่นตลาดป่วน

กนง. แจงชัดดอกเบี้ยนโยบายไทยยังขึ้นได้ต่อเนื่อง พร้อมย้ำอัตราดอกเบี้ยสุทธิควรต้องเป็นบวก ประเมินเศรษฐกิจไทยกว่าจะกลับเข้าสู่ระดับศักยภาพต้องใช้เวลาร่วม1 ปีครึ่ง

     ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จัดประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) ครั้งที่ 3/2565 โดยกล่าวยืนยันว่า ดอกเบี้ยนโยบายไทยยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องไม่ทำให้เศรษฐกิจสะดุด พร้อมประเมินเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัว

       นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) กล่าวในงานประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) ครั้งที่ 3/2565 ว่า กรณีที่มีการตั้งคำถามว่า ภายใต้บริบทปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยของไทยควรขึ้นไปอยู่ระดับใดถึงเป็นระดับที่เหมาะสมนั้น เรื่องนี้ไม่สามารถตอบได้ชัดเจน เพราะ กนง. ไม่ได้กำหนดว่าระดับดอกเบี้ยที่เหมาะสม ควรอยู่ที่เท่าไหร่ แต่บอกได้เพียงว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ 1% ยังไม่ใช่ระดับสูงสุด 

    นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าว ยังไม่ใช่ระดับที่เป็น Neutral rate หรือจุดที่ดอกเบี้ยเข้าสู่สมดุล ดังนั้นระยะข้างหน้าจะเห็นดอกเบี้ยขึ้นต่อไปได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเงินเฟ้อและเศรษฐกิจขณะนั้นเป็นอย่างไร

     อีกทั้งมองว่า อัตราดอกเบี้ยสูงที่สุด (Terminal Rate) ควรจะเป็นบวก เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ระดับศักยภาพ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 1 ปี หรือ 1 ปีครึ่ง

      อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายการเงินของ กนง. จะพยายามหลีกเลี่ยงการให้ Forward Guidance หรือการส่งสัญญาณชัดเจน เพราะสถานการณ์ข้างหน้าคาดเดาอนาคตลำบาก จากความไม่แน่นอนที่เพิ่มมากขึ้น

      เช่น การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยของสหรัฐ ที่ต้นปีมีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 4% แต่ปัจจุบัน 8% เช่นเดียวกับดอกเบี้ย ที่ตลาดคาด สิ้นปีจะอยู่ที่ 1% แต่ปัจจุบันเพิ่มไปที่ระดับกว่า 4% เหล่านี้สะท้อนว่าสถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

กนง.ย้ำเลี่ยงการเซอร์ไพร์สตลาด

    นอกจากนี้ นายปิติ กล่าวด้วยว่า การดำเนินนโยบายการเงินของ กนง. จะพยายามไม่เซอร์ไพรส์ตลาด โดยการสื่อสารของ กนง. ต่อตลาดที่ผ่านมา เป็นการให้น้ำหนักและพัฒนาของเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในขณะนั้น

     “หากมีการให้ Forward Guidance ที่ชัดเจน แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน อาจเกิดช็อกได้ ที่ไม่สามารถดำเนินนโยบายตามที่ตลาดคาดการณ์ได้ ทำให้ กนง.หลีกเลี่ยงที่จะให้ทิศทางที่เป็น Forward Guidance ที่ชัดเจน และ กนง.ไม่ได้มีระดับดอกเบี้ยว่าควรไปที่เท่าไหร่ ไม่งั้นจะเป็นการผูกมัด และจะสร้าง uncertainty ได้” นายปิติ กล่าว

     อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความผันผวนและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น การดำเนินนโยบายของธนาคารกลาง จำเป็นต้องมองทะลุความไม่แน่นอน และแรงกระแทกระยะสั้น และควรมองภาพระยะปานกลาง พยายามไม่เพิ่มความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการเงินเพิ่มขึ้นไปอีก จากความไม่แน่นอนที่มีอยู่แล้ว

     นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายการเงิน จำเป็นต้องยืดหยุ่น และพร้อมปรับตามสถานการณ์ ที่เปลี่ยนไป โดยนโยบายการเงินต้องมุ่งทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง และไม่ไปเสริมแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ เพราะเราไม่ได้ต้องการให้เศรษฐกิจชะลอตัว ต่างกับสหรัฐ เพราะเงินเฟ้อไทยมาจากอุปทาน ไม่ได้มาจากอุปสงค์ และระดับเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวไปสู่ระดับก่อนโควิด-19และยังห่างกับระดับศักยภาพมาก ทำให้การถอนคันเร่งต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป

     ส่วนทุนสำรองของไทยที่ลดลง หลักๆ มาจาก การตีราคา จากสินทรัพย์ในทุนสำรอง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ มีค่าลดลง จากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์เป็นหลัก อีกส่วนมาจาก การเข้าไปดูแลเงินบาท ช่วงที่มีความผันผวนผิดปกติ

คาดเงินเฟ้อทยอยลดตามราคาน้ำมัน

    นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหาภาค ธปท. กล่าวว่า ภาพเศรษฐกิจไทย ภายใต้การขยายตัวปีนี้ที่ 3.3% และปีหน้าที่ 3.8% มาจากการบริโภคเอกชนเป็นสำคัญ รวมถึงการท่องเที่ยวที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องไปถึงปีหน้า โดยการท่องเที่ยวคาดว่า ปีนี้นักท่องเที่ยวจะเกินระดับ 9 ล้านคน และปีหน้าจะมีจำนวนราว  21 ล้านคน

      อีกทั้งมีโอกาสที่นักท่องเที่ยวจะดีกว่าที่ธปท.คาด จากเดิมที่คาดนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาปลายไตรมาส4 แต่หากมาเร็วกว่าคาดก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย

    ส่วนปัจจัยเงินเฟ้อ มีแนวโน้มใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ และคาดทยอยลดลง จากราคาน้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ตัวที่ปรับเพิ่ม คือ เงินเฟ้อพื้นฐาน ที่เห็นการส่งผ่านต้นทุนมากกว่าที่คาด โดยเฉพาะส่งผ่านไปสู่อาหารสด จึงทำให้ ธปท. ปรับประมาณการเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นเป็น 2.6% และ 2.4% ทั้งปีนี้และปีหน้า 

     อย่างไรก็ตาม ธปท. ยังไม่เห็นสัญญาณของ Demand pull inflation หรือเงินเฟ้อที่เกิดจากความต้องการสินค้า และเศรษฐกิจไทยยังไม่ตึงตัวเป็นวงกว้าง แม้จะเริ่มฟื้นตัว

      สำหรับประเด็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ การตึงตัวของตลาดแรงงานบางเซกเตอร์ในระยะข้างหน้า และเงินเฟ้อที่อาจต่ำกว่าฐานได้ จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ที่อาจกระทบต่อราคาพลังงาน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และกระทบเศรษฐกิจไทยระยะข้างหน้าด้วย

อุ่นใจเงินเฟ้อเริ่มทรงตัว

    ด้านนายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงินธปท. กล่าวว่า โจทย์ในการดำเนินนโยบายการเงิน คือ ทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไม่สะดุด หลักๆ มีสองประเด็นคือ เงินเฟ้อ และเงินบาท 

     โดยเงินเฟ้อที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศมาเดือนล่าสุด เริ่มทรงตัวหากเทียบกับเดือนก่อนหน้า ถือว่าเป็นระดับที่อุ่นใจว่า แรงกดดันเงินเฟ้อต่อเศรษฐกิจไม่ได้สูงต่อเนื่อง อีกทั้งการดำเนินนโยบายการเงิน กนง.ค่อนข้างระมัดระวังในการคาดการณ์เงินเฟ้อระยะข้างหน้า ไม่ได้อินไลน์ไปกับสถิติเพียงอย่างเดียว เพราะรู้ว่าบริบทปัจจุบันมีหลาย Shock ที่กระทบเงินเฟ้อ

     อีกทั้งปัจจุบัน หากดูการส่งผ่านต้นทุนไปสู่การตั้งราคาที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการ ในวันนี้ยังเป็นการส่งผ่านปกติ ไม่ได้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังไม่เห็น และเงินเฟ้อคาดการณ์ Inflation expectations ยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย แม้แรงกดดันเงินเฟ้อกำลังมาจากอุปสงค์ที่จากเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัว แต่ยังไม่มากนัก

     “เรายังมองว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยอัตราเงินเฟ้อปานกลาง ยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมาย 10 ปีข้างหน้าที่ 2.3% และจากการเซอร์เวอร์ของนักวิเคราะห์ในช่วงปีที่ 6-10 ก็คาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.4% ซึ่งยังยึดอยู่ในกรอบเป้าหมาย เช่นเดียวกับเงินเฟ้อของผู้ประกอบการ และครัวเรือนที่มีสัญญาณปรับลงด้วยซ้ำ ดังนั้นเงินเฟ้อก็น่าจะปรับลงได้ในระยะถัดไป” นายสุรัช กล่าว

     ส่วนอัตราแลกเปลี่ยน ที่มีการอ่อนค่าเร็วขึ้น ในช่วงประชุม กนง. และหลังประชุม กนง. ซึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่าแล้ว 12-13% หลักๆ มาจากดอลลาร์ที่แข็งค่า ปัจจุบันที่ 18% ซึ่งการอ่อนค่าของเงินบาทถือว่าสอดคล้องกับภูมิภาคโดยเฉพาะหากดูด้านดัชนีเงินบาท (NEER) ที่พบว่าอ่อนค่าเพียง 1% สะท้อนว่าการอ่อนค่าไม่ได้เป็นสิ่งผิดปกติ และการอ่อนค่าไม่ได้เกิดที่ประเทศไทยประเทศเดียว แต่เกิดขึ้นกับทั่วโลกทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศเกิดใหม่

ย้ำพร้อมดูแลเงินบาทหากผันผวนแรง

    แต่อย่างไรก็ตาม หากอัตราแลกเปลี่ยน เคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ธปท.ก็มีความสามารถเข้าไปดูแลผ่านทุนสำรองที่อยู่ระดับสูง โดยเฉพาะเวลาที่เงินบาทผันผวนผิดปกติ

     ดังนั้นโดยรวม การดำเนินนโยบายการเงินของ กนง. ยังคง Normalization Policy แบบค่อยเป็นค่อยไป และพร้อมปรับ ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจและเงินหากสูงกว่าคาดในระยะข้างหน้า กนง.ก็สามารถปรับดอกเบี้ยขึ้นมากกว่า 0.25%ได้ ทางกลับกัน หากมีความเสี่ยงเศรษฐกิจสูงขึ้น หรืออาจชะลอตัว ทำให้ต้องหยุดการขึ้นดอกเบี้ย หรือชะลอดูความชัดเจน ก็สามารถทำได้

คลังเล็งฟื้น‘ช้อปดีมีคืน’ 

    นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่าแต่ละกระทรวงอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการเพื่อเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี โดยในส่วนของกระทรวงการคลังนั้น ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคงจะเรียกทางปลัดกระทรวงการคลังและสศค.เข้าหารือในประเด็นดังกล่าวในเร็วๆนี้

    สำหรับข้อเสนอให้มีการนำมาตรการช้อปดีมีคืนมาใช้อีกครั้ง เขากล่าวว่าทางกระทรวงการคลังพร้อมรับข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งคงจะมีการหารือว่า จะนำมาตรการอะไรมาใช้บ้าง

    ส่วนการต่ออายุมาตรการคนละครึ่งเฟสที่ 6 นั้น ทางกระทรวงการคลังยังไม่ได้รับทราบในเรื่องดังกล่าว โดยขณะนี้ ยังเป็นช่วงการดำเนินมาตรการคนละครึ่งเฟสที่ 5 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยฟื้นฟูและลดภาระค่าครองชีพแก่ประชาชน

ทั้งนี้ ณ วันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา คนละครึ่งเฟส 5 มียอดใช้จ่ายรวม 3.4 หมื่นล้านบาท จากจำนวนผู้ใช้จ่าย 24.02 ล้านคน แบ่งเป็นการใช้จ่ายของประชาชน 17.46 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการใช้จ่าย 51% และรัฐบาลใช้จ่าย 16.85 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการใช้จ่าย 49%

    “ในจำนวนนี้ มีคนใช้จ่ายเต็ม 800 บาท แล้ว 8.75 ล้านคน หรือ 36% ของผู้มีสิทธิ์ ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ต.ค.นี้”

มั่นใจ ‘จีดีพี’ ปีนี้โต 3-3.5%

    เขายังกล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่า คาดว่า จะขยายตัวตามเป้าหมายที่ 3-3.5% โดยการท่องเที่ยวที่เข้ามาเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านคน จะช่วยให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีนี้ เป็นไปตามเป้าหมายที่ 8-10 ล้านคน ส่วนปีหน้า ก็คาดว่า จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น จากการเปิดประเทศ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ และทำให้มีเงินตราต่างประเทศเข้ามามากขึ้น

    “นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น จะเข้ามาช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศ สำหรับปีหน้านั้น เมื่อเราเปิดประเทศและมีมาตรการด้านความปลอดภัยสาธารณสุขที่มากขึ้น ก็เชื่อว่า จะช่วยให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้นและทำให้เศรษฐกิจขยายตัว โดยปีหน้าเราคาดว่า จีดีพีจะสามารถขยายตัวได้กว่า 4%”

    อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายเดือนต.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะมีการทบทวนตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้าอีกครั้ง ทั้งนี้ ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่า จะขยายตัวได้ 2.8% ส่วนปีหน้ามองไว้ที่ 3.7%

     เขายังประเมินยอดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปี2565 จะทรงตัวที่กว่า 20 ล้านคน เพราะยอดลงทะเบียนเริ่มชะลอตัวแล้วในระยะที่ผ่านมา

     ทั้งนี้ ณ วันที่ 16 ต.ค.นี้ ยอดลงทะเบียนดังกล่าวอยู่ที่ 21.45 ล้านคน เป็นการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ 11.56 ล้านคน และ ลงทะเบียนผ่านหน่วยงานรัฐต่างๆ 11.56 ล้านราย โดยการลงทะเบียนปิด ณ วันที่ 31 ต.ค.นี้