วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียน ภาพรวมกระทบจากภาษีการค้า

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียน ภาพรวมกระทบจากภาษีการค้า

ความกังวลภาษีการค้าและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และราคาน้ำมันดิบ กดดันหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง: การประกาศมาตรการภาษีการค้าตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ

ซึ่งมีอัตราภาษีระหว่าง 10-49% และเรียกเก็บทั้งประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาก ไปจนกระทั่งขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ (อาทิ ออสเตรเลีย ที่ถูกเรียกเก็บในอัตรา 10%) ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดเข้าสู่ภาวะกังวลต่อความเสี่ยง (Risk-off) และนักลงทุนเพิ่มการถือครองพันธบัตรเพิ่มขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ลดลงเหลือ 4.01% ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ที่สำคัญ ทั้ง 3 ปรับลดลงในระดับ 4-6% สะท้อนความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ปรับลดลง -5.81% และ -6.42% ทำให้วันนี้กลุ่มพลังงาน อาจได้รับปัจจัยลบจากการปรับลดลงแรงของราคาน้ำมันดิบ

ผลของการเก็บภาษีการค้าตอบโต้ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับไทย: การประกาศเก็บภาษีส่งออกสินค้าไทยที่อัตรา 37% ซึ่งสูงกว่าอัตราภาษีการค้าเฉลี่ยของไทยที่ 9.8% มากสะท้อนว่าสหรัฐฯ ต้องการใช้อัตราภาษีดังกล่าวปูทางไปสู่การเจรจาเพื่อ 1) ให้ไทยนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น 2) ให้ไทยเปิดตลาดและยกเลิกมาตรการกีดกันการค้าที่มิใช่ภาษีหลายๆมาตรการ (กระทบภาคเกษตร, อาหาร, บริการทางการเงิน) เบื้องต้นเราประเมินผลกระทบต่อไทยดังนี้ 1) บนสมมติฐานว่าการส่งออกไปสหรัฐฯ (18% ของการส่งออกรวม) อาจลดลงไป 20-30% คาด GDP ไทยจะลดเหลือ 2.00-2.30% (จากคาดการณ์เดิม 2.80%) เบื้องต้นอาจทำให้มีแรงทำกำไรกลุ่มธนาคาร 2) อัตราภาษีการค้าของไทยที่ 37% และเวียดนามที่ 47% ประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ คาดส่งผลให้การย้ายฐานการผลิตชะลอ กระทบต่อการซื้อที่ดินของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม 3) กลุ่มภาคการผลิต อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ชิ้นส่วนยานยนต์ อาจได้รับผลกระทบจากอัตราภาษี 4) การใช้กำลังการผลิตอาจลดลง กระทบต่อการขายไฟภาคอุตสาหกรรม (GPSC และ BGRIM)

 

5) กนง.มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม 30 เม.ย. ทำให้อาจมีแรงเก็งกำไรในกลุ่มการเงินและที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย

ภาพรวมกลยุทธ์ ลงทุนในหุ้นรายตัว มูลค่าไม่แพง และปันผลสูง เรายังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นรายตัวที่ Valuation ไม่แพง และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง และหลีกเลี่ยงกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจจีนหรือได้รับผลกระทบจากการค้า ลงทุนเน้นกลุ่มปลอดภัย หรือเก็งลดดอกเบี้ย

แนวรับ: 1,130-1,150 แนวต้าน : 1,175 จุด

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    ADVANC (292) : EBITDA margin ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคากลางประมูลคลื่นความถี่รอบใหม่มีโอกาสปรับลดลง ตัดขาดทุน 275 บาท
•    RATCH (34.0): ซื้อขายเพียง 7x PER และให้ผลตอบแทนปันผล 6% ราคาหุ้นได้แรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและผลตอบแทนพันธบัตร ตัดขาดทุน 25.00 บาท
•    AEONTS (120) : มีโอกาสได้แรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ย ขณะที่ซื้อขายด้วย PER เพียง 8.36 เท่า ตัดขาดทุน 102 บาท
•    BJC (26) : คาดผลการดำเนินงานผ่านจุดแย่สุดและเริ่มเข้าสู่การฟื้นตัว ธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มบวกจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง ตัดขาดทุน 21.50 บาท

ประเด็นที่น่าสนใจ 

-    ดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐขยายตัวเดือนที่ 26 ในมี.ค.
-    สหรัฐเผยขาดดุลการค้าต่ำกว่าคาดในเดือนก.พ.
-    สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด
-    WTO หวั่นมาตรการภาษี "ทรัมป์" ฉุดปริมาณการค้าโลกลดลง 1% ปีนี้
-    นักลงทุนคาดเฟดหั่นดอกเบี้ย 3 ครั้งปีนี้ รับมือภาษี "ทรัมป์" 
-    ADP เผยจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐ +155,000 เดือนมี.ค. สูงกว่าคาดการณ์
-    รมว. คลัง เร่งเจรจาสหรัฐ รับมือ มาตรการภาษี ทรัมป์ ชี้หากไม่ทำอะไรเลยกระทบจีดีพีไทย 1%
-    บทวิเคราะห์วันนี้ : กลุ่ม Banking แนะนำ OVERWEIGHT/ กลุ่ม Property ปรับลดน้ำหนักเป็น UNDERWEIGHT
 

 

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

4 เม.ย. – US Non Farm Payrolls, Unemployment Rate, TH CPI
10 เม.ย. – FOMC Minutes, US CPI, TH Consumer Confidence,  CN CPI
11 เม.ย. – US PPI, US Michigan Consumer Confidence
 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียน ภาพรวมกระทบจากภาษีการค้า