วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ปธน.ทรัมป์เรียกร้องให้ลดราคาน้ำมัน อาจกดดันต่อราคาหุ้นพลังงานช่วงสั้น

แม้ทรัมป์เรียกร้องให้ลดดอกเบี้ย แต่เรายังคาดไม่มีเซอร์ไพรซ์จากธนาคารกลางในช่วง ม.ค.-มี.ค. หุ้นยุโรปและสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น หลังมีรายงานข่าวประธานาธิบดีทรัมป์ แสดงความเห็นในการกล่าวสุนทรพจน์ผ่านระบบวิดีโอลิงค์ในการประชุม World Economic Forum ที่ดาวอส
เรียกร้องให้ธนาคารกลางทั่วโลกปรับลดดอกเบี้ยลง และเรียกร้องให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ปรับลดราคาน้ำมันลง อย่างไรก็ตามเรายังคงมุมมองไม่มีเซอร์ไพรซ์จากการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางขนาดใหญ่ของโลกในช่วง ม.ค.-มี.ค. เรามองผลประกอบการจะยังเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อทิศทางการลงทุน ยังมองบวกต่อผลประกอบการหุ้นไทย แต่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง อาจสร้างแรงกดดันระยะสั้นต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกดดันต่อบรรยากาศระยะสั้น
คงมุมมองบวกต่อหุ้นจีนระยะยาวจากคาดการณ์ว่าจีนจะสร้างระบบนิเวศฯ ตลาดทุนของตัวเอง: เมื่อวันพุธที่ผ่านมา จีนเปิดตัวมาตรการหลายอย่างเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดหุ้น รวมถึงแผนการเพิ่มการลงทุนจากกองทุนบำเหน็จบำนาญในบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ โครงการสวอปเพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์ กองทุน และบริษัทประกันภัยสามารถเข้าถึงสภาพคล่องเพื่อซื้อหุ้นได้ โดยในงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัส ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน (CSRC) กล่าวว่ากองทุนรวมควรเพิ่มการถือครองหุ้นในประเทศอย่างน้อย 10% ต่อปีในช่วง 3 ปี ข้างหน้า ขณะที่บริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ของรัฐ ต้องลงทุน 30% ของเบี้ยประกันภัยใหม่ตั้งแต่ 2568 แม้อาจมีปัจจัยลบจากภาพเศรษฐกิจระยะสั้น แต่เรามองบวกระยะยาวต่อหุ้นจีน โดยคาดมาตรการข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สร้างความเข้มแข็งตลาดทุนเพื่อรับมือความขัดแย้งระยะยาวจากสหรัฐฯ
ส่งออก ธ.ค.ขยายตัวดีทั้งอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม: ส่งออก ธ.ค. เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยเพิ่มขึ้น +8.7% ดีกว่าที่ตลาดคาด +7.4% สอดคล้องกับการเติบโตของภูมิภาค โดยสินค้าอุตสาหกรรมที่เติบโตดี ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+43.5%), ผลิตภัณฑ์ยาง (+22.5%), อัญมณี
และเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) (+79.5%) // สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่โตดี ได้แก่ ยางพารา (+48.5%), ไก่สด แล่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป (+7.1%), อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (+14.2%), ผลไม้กระป๋องและแปรรูป (+24.3%) ขณะที่อาหารสัตว์เลี้ยง เริ่มเห็นสัญญาณชะลอลงตามฤดูกาล (+9.7% vs ทั้งปี +22.9%) // ภาพรวมเราประเมินกลุ่มยางน่าสนใจ
ภาพรวมกลยุทธ์ แกว่งตัว 1,335-1,365 จุด ยังชอบกลุ่มผลประกอบการดี ใน 4Q67-1Q68 มีความน่าสนใจ โดยเราชอบ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, สื่อสาร, ค้าปลีก และอาหาร (เครื่องดื่มและเนื้อสัตว์) กลุ่มโรงไฟฟ้าใหญ่และหุ้นปันผลสูงเริ่มกลับมาน่าสนใจ ขณะที่ธนาคารอาจมีแรงทำกำไร โดยมีจุดซื้อคืนประมาณปลายเดือน ก.พ.
แนวรับ: 1,335 แนวต้าน : 1,354-1,365 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• NER (5.90) : การขยายฐานการผลิตรถจากผู้ผลิตจีนในไทย ส่งผลบวกต่อรายได้ของ NER ที่ 2 ใน 3 มาจากผู้ผลิตจีน ตัดขาดทุน 4.84 บาท
• CBG* (85): ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง และการสร้างโรงงานที่พม่าบวกต่อการแย่งส่วนแบ่งการตลาด ตัดขาดทุน 70 บาท
• BTG (21) : คาดกำไร 4Q67F เพิ่มขึ้นทั้ง qoq และ yoy จากต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรยังปรับดีขึ้นต่อเนื่อง ตัดขาดทุน 17.50 บาท
• HANA* (28): ราคาต่ำสุดในรอบ 3 ปี และลดลง 50% จาก high ปี 2567 แม้ consensus คาดกำไร -15% YoY แต่ FCF yield ในระดับ 15-17% สูงเป็นลำดับต้นๆของหุ้นไทย ขณะที่ซื้อขายเพียง 14x PER และ 0.74x PBV ตัดขาดทุน 23 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- ทรัมป์ กดดันเฟดให้หั่นดอกเบี้ยโดยทันที / ผ่อนคลายกฎระเบียบ,ลดภาษีเพื่อให้สหรัฐเป็นมหาอำนาจด้านการผลิต / เรียกร้องซาอุฯ,โอเปคหั่นราคาน้ำมัน
- ลงนาม FTA ไทย-เอฟตา ดันการค้า 4 ประเทศยุโรป
- ส่งออกไทยธ.ค. โตต่อเนื่อง 8.7% ทั้งปีโต 5.4% เกินเป้า มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์
- บทวิเคราะห์วันนี้ : Banking คงแนะนำ Overweight / Electronics คงคำแนะนำ Market Weight/ HMPRO แนะนำ ถือ เป้า 10.00 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
24 ม.ค. – US PMI, Existing Home Sales, BOJ Interest rate decision