วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ความเสี่ยง US Government Shutdown

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด :  บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ความเสี่ยง US Government Shutdown

ทางเทคนิค คาด SET Index อ่อนตัว แนวรับ 1,474/1,470 จุด แนวต้าน 1,494/1,500 จุด อิงรูปแบบดัชนีฯ ที่ยังคงฟอร์มตัวเป็นทิศทางขาลง โดยมีเป้าหมายใหญ่ คือ ลงไปทดสอบจุดต่ำสุดเดิม 1,461 จุด (ณ วันที่ 29 มิ.ย.)

ส่วนโอกาสลุ้นรีบาวนด์จะมาจากการเข้าสู่ภาวะ Oversold Area ของสัญญาณ RSI, Stochastic บริเวณจุดต่ำสุดเดิม 1,474/1,461 จุด ตามลำดับ

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด :  บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ความเสี่ยง US Government Shutdown

Event Play สำคัญวันนี้ จับตา

1. US จับตาประเด็น Government Shutdown สถานการณ์ล่าสุด พบว่า วุฒิสภาฯ มีการเสนอให้มีการขยายเพดานออกไปจนถึงวันที่ 17 พ.ย. เพื่อให้ฝ่ายกฎหมายมีเวลาในการพิจารณา แต่สภาล่าง ซึ่งครองเสียงข้างมาก โดยพรรคฝ่ายค้าน Republican ไม่เห็นด้วยและคาดว่าจะมีการเสนอร่างกฎหมายเข้าสภาได้วันศุกร์นี้ (แต่ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน แต่มีข้อเรียกร้องให้ก่อสร้างกำแพงระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ต่อไป ควบคุมนโยบายการเข้าเมืองของคนต่างชาติ งดให้ความช่วยเหลือยูเครน และลดค่าใช้จ่ายจำนวนมากทางการทหาร เป็นต้น) ทำให้มีโอกาสสูงที่ US Government Shutdown จะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 15 นับตั้งแต่ปี 1981 กระทบต่อผู้รับเงินเดือนจากรัฐ อาทิ ทหาร 1.3 ล้านคน พนักงานของรัฐอีกกว่า 2 ล้านคน รวมถึงบริษัทที่รับงานประมูลจากรัฐ จำนวน USD1.98bn./วัน ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับทางการทหาร อาทิ Lockheed Martin, RTX Corp ฯลฯ ขณะที่การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ๆ อาจต้องมีการเลื่อนออกไป ซึ่งจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อตลาดการเงิน

Bloomberg ออกรายงานคาดการณ์ 4Q23E GDP Growth จะปรับลดลง 0.2 ppt สาหรับการหยุดงานทุก ๆ 1 สัปดาห์ และคาดว่าจะลดลงสูงสุด -2.8 ppt หากหยุดยาวทั้งไตรมาส (แต่ตลาดคาดว่าจะหยุดงานเพียง 2 สัปดาห์ หากอิงจากค่าเฉลี่ยการปิดหน่วยงานรัฐ 8 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรฐกิจ 4Q23E GDP เพียง -0.4 ppt และอัตราว่างงานสูงขึ้น 0.1% ppt ในเดือน ต.ค. ส่วนกรณีแย่สุดหยุดยาว 4-5 สัปดาห์ จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขว่างงานสูงขึ้นเป็น 4% ในเดือน ต.ค. จาก 3.8% ในเดือน ก.ย.)

ข่าวดังกล่าวเป็นลบ แต่มีผลกระทบจำกัดต่อตลาดการเงิน เพราะตลาดเชื่อว่าการปิดหน่วยงานรัฐจะเป็นเพียงชั่วคราว ในอดีตที่ผ่านมา ระยะเวลาปิดหน่วยงานรัฐนานสุด คือ 34 วัน เกิดขึ้นเมื่อเดือน ธ.ค. 2018 โดยคาดว่ายิดล์พันธบัตรสหรัฐฯ ยังทรงตัวในระดับสูง ไม่ใช่เพราะผลกระทบจากการปรับลดอันดับเครดิตตราสารหนี้ของประเทศสหรัฐฯ จาก AAA เป็น AA+ ของสถาบันจัดอันดับเครดิต Moody (คาดความผันผวนของตลาดพันธบัตรมีจำกัด เนื่องจากสถาบันจัดอันดับเครดิตอื่น ๆ S&P FITCH ประกาศปรับลดเครดิตไปล่วงหน้าแล้ว) แต่เป็นผลจากการคาดว่าเฟดมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก1ครั้งในปีนี้ และคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงยาวนาน (Higher For Longer)

ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ คาดว่าจะมีจำกัด (กระทบบริษัทที่มีการรับงานจากรัฐ อาทิ หากอิงเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2023 สหรัฐฯ ถูก Fitch Rating ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ 1 ขั้น จากระดับ AAA เหลือ AA+ พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลงช่วงสั้นและฟื้นตัวกลับมาที่จุดเดิมในไม่นาน ขณะที่สถิติในอดีต พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย +2.86% และ 8.9% หลังการปิดหน่วยงานรัฐ 1 สัปดาห์ และ 1 เดือน ตามลำาบ

2. การทำราคาปิดงวดสิ้นบัญชี (Window Dressing) มีความเป็นไปได้สูงที่อาจเกิดขึ้นในวันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของ 3Q23 ภายใต้ทิศทางตลาดหุ้นไทย ที่อ่อนแอกว่ามากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคและตลาดหุ้นโลก โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ร่วงแรง MTD (อาจมีแรงซื้อเก็งกำไร) ได้แก่ สื่อและสิ่งพิมพ์ บริการรับเหมาก่อสร้าง เงินทุนและหลักทรัพย์ ธนาคาร และพาณิชย์ เป็นต้น

 

3. ฤดูท่องเที่ยวของจีนเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย.-6 ต.ค. วันหยุดยาวเนื่องในวันชาติของจีน คาดว่าจะเป็นโมเมนตัมบวกต่อแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นอิงท่องเที่ยวของไทย (AOT ERW SPA TKN AAV) บนคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น หลังจากรัฐบาลเร่งเปิดฟรีวีซ่า เพื่อรับนักท่องเที่ยวจีนตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. และสถิติย้อนหลัง 1Q-2Q23 พบว่า ไทยเป็นประเทศเป้าหมายอันดับแรกของนักท่องเที่ยวจีนที่ 33% และ 31% ของทั้งหมด โดยททท. คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านคน เป็น 4.4 ล้านคน (เทียบกับ 2.18 ล้านคน ในช่วง 8M23 ซึ่งสุงสุดเป็นอันดับ 2 จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด 17.5 ล้านคน)

 

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ จับตา

+ US: ปัจจัยบวก คือ แนวโน้มเงินเฟ้อ Core PCE เดือน ส.ค. ซึ่งเฟดใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการพิจารณาดอกเบี้ยนโยบาย คาดปรับลดลงต่อเนื่อง +3.9% YoY เทียบกับเดือน ก.ค. +4.2% YoY ทำให้มีโอกาสน้อยลงที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย (Dot Plot คาดสิ้นปี 2023-24E อยู่ที่ 3.7% และ 2.6% ตามลำดับ) ส่วนปัจจัยลบ คือ ตัวเลข PCE เดือน ส.ค. คาดเพิ่มขึ้น +0.5% MoM, +3.5% YoY เทียบกับเดือน ก.ค. +0.2% MoM, +3.3% YoY ตามราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้น (Dot Plot คาดสิ้นปี 2023-24E อยู่ที่ 3.2% และ 2.5% ตามลำดับ) และ Personal Spending เดือน ส.ค. คาดเติบโตน้อยลง +0.4% MoM (Vs เดือน ก.ค. +0.2% MoM) สะท้อนการใช้จ่ายเพื่อบริโภคทรงตัว แต่ Fed Atlanta คาด 3Q23E GDP เติบโตสูงถึง +5.9% QoQ เทียบกับ 2.1% QoQ ใน 2Q23

+ EU: ปัจจัยบวก คือ CPI เดือน ส.ค. แม้จะเพิ่มขึ้น MoM (คาด +0.7% MoM เทียบกับเดือน ก.ค. +0.5% MoM) แต่หากเทียบ YoY พบว่า เงินเฟ้ออียูปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ +4.5% YoY (ลดลงเมื่อเทียบกับเดือน ก.ค. +5.2% YoY) และ Core CPI เดือน ส.ค. คาดลดลงเป็น +4.9% YoY (Vs เดือน ก.ค. +5.3% YoY) สนับสนุนแนวโน้ม ECB Meeting จะเริ่มคงดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในการประชุมต้นเดือน พ.ย.

กลยุทธ์ลงทุน แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีน ERW SPA TKN

 

Strategic daily picks

ERW     ปิด 5.50 บาท/แนวรับ 5.25 บาท แนวต้าน 6.00 บาท

ERW คาด 4Q23 จะดีขึ้นต่อเนื่องจากช่วง high season ของธุรกิจ และภาครัฐผลักดันมาตรการฟรีวีซ่า จึงคาดว่าอัตราการจองห้องพัก (OCC) จะไม่ต่ำกว่าระดับ 80% พร้อมกันนี้ บริษัทมีแผนเปิดโรงแรมที่ญี่ปุ่น จากบริษัทเข้าไปลงทุน รวมถึงการก่อสร้างโรงแรมใหม่อีกราว 9 แห่ง ในปี 2024 นอกจากนี้ ERW ได้อานิสงส์จากการลดค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. ไม่เกินหน่วยละ 3.99 บาท (ค่าไฟฟ้าคิดเป็น 6-7% ของต้นทุนรวม) ทั้งนี้ Bloomberg Consensus ประมาณการกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 719.23 ล้านบาท และมูลค่าเหมาะสมที่ 6.03 บาท

 

SPA    ปิด 12.80 บาท/แนวรับ 12.30 บาท แนวต้าน 13.40 บาท

SPA คาดผลการดำเนินงาน 2H23 จะดีกว่า 1H23 เนื่องจากเป็นช่วง high season ตั้งแต่ 3Q และสูงสุดใน 4Q โดยบริษัทปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.4 พันล้านบาท (เดิม 1.1 พันล้านบาท) พร้อมเปิดสาขาสปาใหม่อีก 3 สาขา ภายใต้แบรนด์ “Let’s Relax” ทั้งนี้ บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติ 60% และในประเทศ 40% Bloomberg Consensus ประมาณการกำไรสุทธิ 3Q23 และปี 2023 ที่ 67.50 ล้านบาท และ 229.43 ล้านบาท ตามลำดับ และมูลค่าเหมาะสมที่ 14.46 บาท

 

TKN     ปิด 12.90 บาท/แนวรับ 12.40 บาท แนวต้าน 13.70 บาท

TKN ปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตของยอดขายใหม่เป็นไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน (เดิมไม่ต่ำกว่า 15%) หลังแนวโน้มการขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของยอดขายใน 2H23 ขณะเดียวกันบริษัทอาจมีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์สาหร่ายใหม่ในบางประเทศเพิ่ม เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนสาหร่ายช่วง 4Q23 ที่ปรับขึ้นมากว่า 15% จากต้นทุนสาหร่ายเดิมในช่วงก่อนหน้า Bloomberg Consensus ประมาณการกำไรสุทธิ 3Q23 และปี 2023 ที่ 182 ล้านบาท และ 708.50 ล้านบาท ตามลำดับ และมูลค่าเหมาะสมที่ 15.10 บาท

 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด :  บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ความเสี่ยง US Government Shutdown