เลือกเก็งกำไรรายตัว คาดตลาดอาจเริ่มมีทิศทางหลังประชุมเฟดสัปดาห์หน้า

เลือกเก็งกำไรรายตัว คาดตลาดอาจเริ่มมีทิศทางหลังประชุมเฟดสัปดาห์หน้า

ส่งออกธ.ค. -14.6% แย่กว่าตลาดคาดที่ -11.0% แต่ถือว่าใกล้เคียงกับที่เราประเมินในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาว่า ตัวเลขส่งออกปลายปีอาจติดลบ 15-20% ทั้งนี้มีสัญญาณชะลอตัวในเกือบทุกหมวดสินค้า

โดยกลุ่มที่ยังพอมีการเติบโตที่ดี ในกลุ่มเกษตร ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง (+21.6%) ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง (+22.8%) ขณะที่ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ (+65.6%) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด (+83.7%) ขณะที่สินค้าที่ส่งออกแย่ ส่วนมาก ได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองที่จีน ซึ่งในกลุ่มเกษตร ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (-12.4%), ยางพารา (-47.7%), ผลไม้กระป๋องและแปรรูป (-20.5%%), น้ำตาลทราย (-45.4%) ขณะที่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ (-17.1%), สินค้าที่เกี่ยวกับน้ำมัน (-25.7%), เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (-24.3%), อัญมณีและเครื่องประดับ (-12.4%) เป็นต้น 

 

คาดกนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ทั้งปีคาดปรับขึ้น 2-3 ครั้ง การที่ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ใกล้ถึงจุดสูงสุดของวัฎจักร จะทำให้ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ยุติขาลงและเงินทุนอาจไหลกลับเข้าลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ ปัจจัยดังกล่าวทำให้เราคาดว่าในปีนี้ กนง. จะมีความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ-ไทย ไม่ให้สูงเกินไป เราคาดการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ไม่ส่งผลบวกต่อปัจัจยพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัฐ แต่อาจเป็นผลบวกทางจิตวิทยากับหุ้นธนาคารและประกัน ขณะที่หาก กนง. สร้างความประหลาดใจด้วยการตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.25% (ไม่ปรับขึ้น) อาจเป็นปัจจัยบวกทางจิตวิทยาต่อหุ้นในกลุ่มการเงิน

 


 

ประเด็นลงทุนที่น่าสนใจ 1) ฟื้นตัวจากเศรษฐกิจและเปิดเมือง BBL, SCB, MINT, SPA, VRANDA, TNR, KISS, CPN, CRC, CPALL, MAKRO, MAJOR 2) หุ้นได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว (พลังงาน ปิโตรเคมี บรรจุภัณฑ์) ได้แก่ PTTGC, IRPC, SCGP, AJ, PTL, SCC, PTTEP, PTT 3) กลุ่มบริโภคและการย้ายฐานการผลิต ได้แก่ WHA, AMATA, ROJNA 4) การขายไฟพลังงานทดแทน 5200MW GULF, GUNKUL, BCPG, SSP, BGRIM, GPSC, EGCO 5) หุ้นที่น่าสนใจอื่นๆ DMT, TVDH, FLOYD, SORKON 6) กลุ่มน้ำตาล เข้า high season และปริมาณการผลิตไทยสูงสุดในรอบ 3 ปี ดีกับ KSL, KTIS, KBS, BRR

 

ภาพรวมกลยุทธ์: บรรยากาศการซื้อขายในเอเชียมีแนวโน้มคึกคักขึ้นหลังหลายตลาดจะกลับมาจากการหยุดตรุษจีน การเก็งกำไรระยะสั้นเน้นหุ้นที่ยัง Laggard ขณะที่ติดตามการประกาศผลผู้ผ่านคุณสมบัติเสนอขายไฟฟ้าพลังงานทดแทน อาจเป็นบวกกับกลุ่มไฟฟ้า //หุ้นแนะนำ: AEONTS*, GUNKUL*, MAJOR, VRANDA

แนวรับ: 1,673 / แนวต้าน : 1,688-1,694 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

ประเด็นการลงทุน

ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการสหรัฐหดตัวเป็นเดือนที่ 7 - ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 46.6 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 45.0 ในเดือนธ.ค.

ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการขั้นต้นยูโรโซน พลิกสู่การขยายตัว – ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการขั้นต้นของยูโรโซน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.2 ในเดือนม.ค. จาก 49.3 ในเดือนธ.ค.

ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการอังกฤษร่วงต่ำสุดรอบ 2 ปีในเดือนม.ค. - ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นปรับตัวลงสู่ระดับ 47.8 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี จากระดับ 49.0 ในเดือนธ.ค.

ครม. อนุมัติ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ช่วง ก.พ.-ก.ย.66 – มีมติอนุมัติ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 วงเงิน 2,016 ลบ. และ มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศวงเงิน 1,930 ลบ. รวมในกรอบวงเงินรวม 3,946.44 ลบ.

TRUE-DTAC ตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นคืนจากผู้คัดค้านควบรวม เริ่มวันที่ 27 ม.ค.นี้ - โดย TRUE รับซื้อคืนไม่เกิน 161,009,366 หุ้น ที่ราคา 5.15 บาท ขณะ DTAC ประกาศรับซื้อคืนไม่เกิน 223,067,050 หุ้น ที่ราคา 50.50 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค.-9 ก.พ.นี้ รวม 14 วัน

ขึ้นราคาน้ำตาลอุ้มชาวไร่อ้อย กระทบ 'เครื่องดื่ม-นม-เบเกอรี่' - สินค้าจ่อขึ้นราคาอีกระลอก หลังปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน 1.75 บาท/กก. มีผล 20 ม.ค.66 ดันราคาน้ำตาลทรายขาวธรรมดาขึ้นเป็น 19 บาทต่อกก. น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์เป็น 20 บาทต่อกก. ตามข้อเสนอของชาวไร่เพื่ออุ้มราคาอ้อยขั้นต้นปี 65/66

 

ประเด็นติดตาม: 25 ม.ค. – TH Interest Rate Decision, US Crude Oil Inventories / 26 ม.ค. – US GDP Q4, US New Home Sales / 27 ม.ค. – US Core PCE Price Index, US Pending Home Sales / 31 ม.ค. - CB Consumer Confidence / 1 ก.พ. – EU CPI, ISM Manufacturing PMI, Fed Interest Rate

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)