ตลาดกลับมากังวลตัวเลขเงินเฟ้อ และการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมต้นพ.ย.

ตลาดกลับมากังวลตัวเลขเงินเฟ้อ และการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมต้นพ.ย.

ตลาดกลับมากังวลการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุม 1-2 พ.ย. การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาหลายตัวชะลอน้อยกว่าคาดหรืออกมาในเกณฑ์ดี ทำให้ตลาดลดทอนความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเริ่มผ่อนระดับการขึ้นดอกเบี้ย

และกลับมากังวลเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด โดยในการประชุม 1-2 พ.ย. ความน่าจะเป็นของการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เพิ่มขึ้นเป็น 78.1% (จากก่อนหน้านี้ที่ 66%) โดยตัวเลขเศรษฐกิจ ก.ย. ที่สำคัญที่รายงานไปเมื่อสุดสัปดาห์ ได้แก่ 1) การจ้างงานนอกภาคเกษตร 263,000 ตำแหน่ง (ลดลงจาก ส.ค.ที่ 315,000 ตำแหน่ง แต่สูงกว่าตลาดคาดที่ 255,000 ตำแหน่ง) 2) อัตราการว่างงาน 3.5% (ต่ำกว่า ส.ค.และตัวเลขที่ตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ 3.7%) 3) สินเชื่อผู้บริโภค สูงขึ้น +35% จาก ส.ค. // 

 

เข้าสู่ช่วงการประกาศผลประกอบการ ในประเทศ เริ่มด้วยกลุ่มธนาคาร โดยคาด TISCO เป็นแห่งแรก 13 ต.ค. ก่อนที่จะตามมาด้วยธนาคารอื่นๆในสัปดาก์หน้า สำหรับสหรัฐฯ บริษัทขนาดใหญ่ที่จะเริ่มรายงานผลประกอบการสัปดาห์นี้ ได้แก่ 11 ต.ค. Louis Vuitton / 12 ต.ค. PepsiCo / 13 ต.ค. Taiwan Semiconductor / 14 ต.ค. United Health, JPMorgan, Well Fargo, Morgan Stanley, Citigroup เป็นต้น ทั้งนี้การประกาศผลประกอบการหุ้นสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มกระทบกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในไทย ได้แก่ 19 ต.ค. Lam Research / 25 ต.ค. Texas Instrument / 16 พ.ย. NVIDIA / 8 ธ.ค. Avago / 19 ธ.ค. Micron เป็นต้น   
 

 

 

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มท่องเที่ยว AOT, CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR, VRANDA, SPA 2) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO, MAJOR, MBK 3) มาตรการสนับสนุน EV ได้แก่ EA, GPSC, PIMO  4) หุ้นได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน BABA80, TENCENT80, CHINA, STAR5001 5) กลุ่มไฟฟ้าแผน PDP ใหม่ บวกกับ EGCO, RATCH, GULF, GUNKUL, SSP 6) เก็งกำไรทางเทคนิค CRC, RATCH, RS, SC, TH, TLI, BAM, EA, BAFS, CK, MBK, SAMART, ARIN, SVT, MC, TKN, SCGP, KISS 

ภาพรวมกลยุทธ์: หลังชะลอตัวที่ 1,595 และปรับลงหลุด 1,580 ทำให้แนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,568 และ 1,550 จุด ตามลำดับ กลยุทธ์ในภาพใหญ่ไม่เปลี่ยน คือ รอเลือกซื้อกลุ่มหุ้นเปิดเมือง (ซื้อ: ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร กองรีทส์/ สะสมค้าปลีก การเงิน) ระยะสั้นกลุ่มที่ลงเยอะมีโอกาสเป็นเป้าหมายเก็งกำไร แต่ไม่ถือถึงงบออก ส่วนกลุ่มพลังงานสามารถเก็ง PTTEP ตามแนวรับ ส่วนหุ้นโรงกลั่นกำไรไตรมาส 3 ชะลอหนัก เก็งกำไรระมัดระวัง (ถ้าจะเลือก ชอบ SPRC) //หุ้นแนะนำ: SSP*, TEGH*, TU*, FLOYD*

แนวรับ: 1,564 / แนวต้าน : 1,590-1,598 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

 


 

ประเด็นการลงทุน

ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานเพิ่มขึ้น – ดีดตัวขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 5.0% เมื่อเทียบรายปี

สหรัฐสั่งคุมเข้มส่งออกชิปให้จีน – เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปกป้องความมั่นคงของชาติและผลประโยชน์ด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ

ภาคบริการจีนเดือนก.ย.หดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน - ผลสำรวจของไฉซินที่เปิดเผยในวันนี้ (8 ต.ค.) บ่งชี้ว่า กิจกรรมภาคบริการของจีนในเดือนก.ย.หดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน เนื่องจากข้อจำกัดต่าง ๆ ในการควบคุมโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และความเชื่อมั่นทางธุรกิจ

เครดิตสวิสเสนอซื้อคืนหุ้นกู้ 3 พันล้านดอลลาร์ – พร้อมแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน หลังจากที่นักลงทุนบางรายแสดงความไม่มั่นใจต่อสถานะทางการเงินของเครดิตสวิสในสัปดาห์ที่ผ่านมา

SAWAD ผู้บริหารมั่นใจกำไรไม่ลด จากเกณฑ์สคบ.คุมดอกเบี้ย – เหตุมีรายได้ค่าฟี การลดค่าใช้จ่ายเข้ามาชดเชย รอปี 66 แบงก์ชาติคุมเช่าซื้อเต็มตัว ส่งผลไฟแนนซ์ห้องแถว ร้านขายมอไซต์ ปล่อยเองแทบไม่ได้ ลูกค้าต้องหันมากู้กับบริษัทแทน ดันแชร์จาก 15% ขึ้นเป็น 25% รั้งอันดับ 1 ได้ลุ้นดอกเบี้ยที่แบงก์ชาติจะปรับใหม่ขึ้นมาที่ 26%

InnovestX เปิดตัวประเดิมเทรด 21 เหรียญ – เตรียมเจาะกลุ่มสินทรัพย์ดิจิทัล

BANPU-W4 ที่แปลงสภาพเป็น BANPU เข้าเทรดวันนี้ – จำนวน 1,688 ล้านหุ้น 

DOHOME – สาขาอุบลราชธานีได้รับผลกระทบอุทกภัยน้ำท่วมจากคันกั้นน้ำพังเสียหายในคืนวันที่ 9 ต.ค. ทำให้น้ำเข้าท่วมโซนลานจอดรถและโวนจำหน่ายสินค้า แต่ไม่กระทบกับคลังสินค้าที่อยู่ในระดับสูงกว่า

AAI เคาะราคาขาย IPO ที่ 5.55 บ./หุ้น – บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) เปิดจอง 17-16 ต.ค.

 

ประเด็นติดตาม: 12 ต.ค. – US PPI / 13 ต.ค. – US CPI / 14 ต.ค. - US Retail Sales / 19 ก.ย. – EU CPI, US Building Permits / 20 ก.ย. – US Existing Home Sales

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)