Sideways เลือกเก็งกำไรระยะสั้นหุ้นกลุ่ม Defensive

Sideways เลือกเก็งกำไรระยะสั้นหุ้นกลุ่ม Defensive

คาดดัชนีฯ Sideways แนวรับ 1,675/1,670 จุด แนวต้าน 1,690/1,700 จุด ตลาดยังรอปัจจัยใหม่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการแรลลี่รอบใหม่ ขณะที่การลงทุนปัจจุบันมีการสลับเปลี่ยนหุ้นกลุ่มนำตลาด

จากกลุ่มอิงการเปิดประเทศและการบริโภค มาเป็นหุ้นกลุ่มที่ปรับขึ้น น้อยกว่าตลาดที่ผ่านมา ทดแทน เช่น กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ เงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นต้น เชิงกลยุทธ์ แนะนำ เลือกเก็งกำไรระยะสั้นหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น โรงพยาบาล กลุ่มสาธารณูปโภค เป็นต้น ซึ่งก่อนหน้านี้ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาด หุ้นแนะนำ BDMS BEM BGRIM

 

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ

+ KTX Big Cap Portfolio: AWC BGRIM CENTEL BH BEM CPALL AOT BBL HANA CPN TTB BDMS PLANB (ซื้อ SAWAD)

+ Daily Recommendations: BDMS (แนวรับ 29.50/29.00 บาท แนวต้าน 31.00/32.00 บาท) BEM (แนวรับ 9.40/9.20 บาท แนวต้าน 9.85/10.00 บาท) BGRIM (แนวรับ 40.50/40.00 บาท แนวต้าน 42.25/45.50 บาท)

+ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็งค่า: กลุ่มนำเข้า (COM7 TOA SYNEX) กลุ่ม หนี้ต่างประเทศสูง สายการบิน (AAV) โรงไฟฟ้า (GPSC GULF BGRIM)

+ หุ้น 4Q22E Earnings Play: COTTO SINGER EPG PTG NEX ESSO BAFS JMT THANI SNNP M PRINC EKH MFEC HUMAN PLANB PTTGC IMPACT SA SC ORI JWD FSMART PJW IIG

 

 

 

ปัจจัยบวก

+ Equities (+EU EM –US): ผลสำรวจผู้จัดการกองทุนโลก 253 ราย มูลค่า NAV USD710bn ระหว่างวันที่ 6-12 ม.ค. ของ Bank of America ML พบว่า มีการปรับเพิ่มลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงสูงขึ้น หลังจากจีนประกาศเปิดประเทศเร็วกว่าคาดการณ์ โดยลดการถือครอง Cash เหลือ 5.3% Vs เดือน ธ.ค. 5.9% แต่ยังคงให้น้ำหนัก OW Cash & Bonds และเพิ่มลงทุน Equities แม้จะยังคง UW โดยเพิ่มการลงทุน 1. หุ้น Europe 4%OW Vs เดือน ธ.ค. 10% UW (วิกฤติพลังงานช่วงปลายปี 2022-ต้นปี 2023 ไม่เกิดขึ้น เพราะฤดูหนาวไม่รุนแรง) 2. หุ้น EM 26% OW สูงสุดตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2021 (รับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน) แต่มีมุมมองเชิงลบต่อ US Markets (ไม่ได้ประโยชน์เต็มที่จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัว เพราะความขัดแย้งทางการเมือง) โดยเพิ่มมุมมอง UW สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2005 (52% UW) ที่ 39% UW สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม แนะนำ 1. กลุ่ม Utilities 2. กลุ่ม Industrials เราคาดว่าผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยมีจำกัด เนื่องจากระดับราคาหุ้นในด้านปัจจัยพื้นฐานที่เริ่มเต็มมูลค่า โดยอาจเป็นผลบวกต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคง Laggards เช่น เงินทุนและหลักทรัพย์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ สื่อและสิ่งพิมพ์ ในปี 2022 ปรับตัวลดลง -16.5%, -11.1% และ -19.1% ตามลำดับ หุ้นเด่น SAWAD TIDLOR PTTGC PLANB

 

ประเด็นสำคัญ

- US: Earnings Results: P&G; Housing Starts เดือน ธ.ค. คาด -1.9% MoM (Vs เดือน พ.ย. -0.5% MoM), สุนทรพจน์ประธานเฟด สาขาบอสตัน Collins, เฟด สาขานิวยอร์ก Williams

- EU: Davos สุนทรพจน์ประธานอีซีบี ลาการ์ด ในงานสัมมนา World Economic Forum

 

 

Global Market Summary: วันทำการที่ผ่านมา

+ ตลาดหุ้นไทยกลับมาปิดบวก: SET Index วานนี้ แกว่งตัวขึ้นลงในกรอบแคบ 1,679.15-1,684.10 จุด ก่อนปิดตลาดที่ 1,685.44 จุด +4.4 จุด วอลุ่ม 6.13 หมื่นล้านบาท นำขึ้นโดยกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ +1.72% ขนส่งและโลจิสติกส์ +1.67% สื่อและสิ่งพิมพ์ +0.85% เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร +0.42% หุ้นบวก >4% PTL SABUY VL MAJOR GSC BGT หุ้นลบ >4% TMC DCON JKN RABBIT TRC NCL

+/- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฯ ปิดลบ ส่วนหุ้นยุโรปปิดคละ: DJIA -1.81% S&P500 -1.56% NASDAQ -1.24% โดย DJIA และ S&P500 ปรับลงแรงที่สุดในรอบกว่า 1 เดือน เพราะกังวลต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน ธ.ค. ลดลงสูงกว่าตลาดคาด -1.1% MoM (Vs คาด -0.8% MoM) และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค. ลดลงสูงสุดรอบ 15 เดือน -0.7% MoM (คาด -0.1% MoM) ส่งผลต่อหุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณดัชนี S&P500 ปิดใน แดนลบ นำลงโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภค และหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดคละ CAC40 +0.09% DAX -0.03% FTSE -0.26% แต่ดัชนี หุ้นยุโรป STOXX 600 ยังคงปรับขึ้น +0.23% นำขึ้นโดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ ซึ่งได้ผลบวกจากราคาโลหะที่พุ่งขึ้น จากความหวังเกี่ยวกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากจีน และกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากเอเอสเอ็ม อินเทอร์เนชันแนล เอ็นวี บริษัทจัดจำหน่ายเซมิคอนดักเตอร์ของเนเธอร์แลนด์ รายงานรายได้ 4Q22 สูงเกินคาด

- ราคาน้ำมันดิบและทองคำปิดลบ: WTI -70 เซนต์ ปิดที่ USD79.48/บาร์เรล Brent -94 เซนต์ ปิดที่ USD84.98/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ หลังจากยอดค้าปลีกเดือน ธ.ค. หดตัวกว่าคาด ซึ่งบดบังปัจจัยบวกจากความหวังที่ว่าการเปิดประเทศของจีนจะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้น้ำมัน ส่วนราคาทองคำอ่อนตัวต่อเนื่อง -USD2.90 ปิดที่ USD1,907.00/ออนซ์ หลังจากนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ และนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์ สนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า 5% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

 

ประเด็นสำคัญ

- US: สหรัฐฯ เปิดเผยยอดค้าปลีกดิ่งลง -1.1% MoM ในเดือน ธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าปรับตัวลงเพียง -0.8% MoM หลังจากลดลง -1.0% MoM ในเดือน พ.ย. โดยยอดค้าปลีกได้รับผลกระทบจากยอดขายรถยนต์ที่ลดลง รวมทั้งการปรับตัวลงของราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งกระทบต่อยอดขายของสถานีบริการน้ำมัน

+ US: กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น +6.2% YoY ในเดือน ธ.ค. ต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ +6.8% YoY หลังจากเพิ่มขึ้น +7.3% YoY ในเดือน พ.ย. โดยตัวเลข PPI ดังกล่าวต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว

+ Japan: BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% และยังคงกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ของรัฐบาลญี่ปุ่น ไว้ในช่วง -0.5% ถึง +0.5% ซึ่งการคงนโยบายการเงินดังกล่าว สวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่า BOJ จะปรับนโยบายการเงินอีกครั้ง โดยมีการปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐานในปีงบประมาณ 2022 ขึ้นสู่ระดับ 3% เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 2.9% และคาดว่าดัชนีเงินเฟ้อพื้นฐานในปีงบประมาณ 2023E จะเพิ่มขึ้น 1.6% และจากนั้นจะเพิ่มขึ้น 1.8% ในปีถัดไป ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ของ BOJ

+ Oil: IEA ออกรายงานระบุว่า การที่จีนผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19 จะหนุนอุปสงค์น้ำมันโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในปีนี้ ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจะลดอุปทานในตลาด โดย IEA คาดการณ์ว่าการผลิตน้ำมันของรัสเซียจะลดลง 14% สู่ระดับ 9.6 ล้านบาร์เรล/วัน ในช่วงสิ้นสุด1Q23 และคาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน ในปี 2023 สู่ระดับ 101.6 ล้านบาร์เรล/วัน โดยได้ปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันจากจีนและอินเดีย

 

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ Trading Buy (โดยมีจุดขายตัดขาดทุน 3%)

หุ้นแนะนำรายสัปดาห์: TIDLOR PTTEP PTTGC / ระยะยาว SAWAD BGRIM

หุ้นแนะนำเก็งกำไร: BDMS BEM BGRIM

Derivatives: รอเปิด Short เมื่อ S50H23 หลุด 1,000 จุด เท่านั้น