วิกฤต”คริปโทวินเทอร์” ปีแห่งการ “ล้มละลาย”

วิกฤต”คริปโทวินเทอร์” ปีแห่งการ “ล้มละลาย”

ในเดือนพ.ย.65 ราคา Bitcoin (BTC) ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบสองปี เคลื่อนไหวที่ประมาณ 15,500 ดอลลาร์ในวันที่ 22 พ.ย. พร้อมกับตลาดการลงทุนอื่นๆที่ปรับตัวลดลง หลังจากการล้มละลายของ FTX ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่ามีผลทำให้ตลาดคริปโทสั่นคลอน ทำให้รายต่อไปคือ  BlockFi ผู้ให้กู้คริปโทประกาศล้มละลายในเดือน พ.ย.65 ที่ผ่านมา

ทำให้นักลงทุนติดตามอย่างต่อเนื่องว่า ในเดือนธ.ค.การล่มสลายของ FTX จะส่งผลกระทบต่อไปยังภาคส่วนใดของอุตสาหกรรมคริปโทเคอเรนซี่อีกบ้าง

ในตลอดทั้งปี 2565 ที่ผ่านมา “คริปโทวินเทอร์” ทำให้ BTC ลดลงประมาณ 65% และทำลายล้างมูลค่าตลาดคริปโทประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ จากมูลค่าตลาดคริปโทที่ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในเดือน พ.ย. 2564

 นายพิริยะ สัมพันธารักษ์ คณะกรรมการสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และกรรมการผู้จัดการ โฉลกดอทคอม จำกัด กล่าวว่าปีนี้เป็นปีแห่งเหตุการณ์ ที่ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเพราะทุกๆการปรับฐานในทุกๆประมาณ 4 ปี จะเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นทุกครั้ง

 

โดมิโน “คริปโทวินเทอร์”

อัตรา “เงินเฟ้อ” และการเพิ่ม”ดอกเบี้ย”ที่สูงขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ได้ผลักดันให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงตลอดทั้งปี ซึ่งรวมถึงหุ้นและสกุลเงินดิจิทัล

การล่มสลายท่ามกลางคริปโทวินเทอร์ในปี 2565 มีจุดเริ่มต้นจากที่นักลงทุนมีการขายครั้งแรก เผยให้เห็นการใช้เลเวอเรจที่มากเกินไปในตลาดกู้ยืมคริปโท ทำให้เกิดการล่มสลายของ TerraUSD สเตเบิลคอยน์ของเทอรร์ฟอร์มแลบส์ที่หลุด Peg หรือหลุดการตรึงราคาดอลลาร์ในเดือนพ.ค.65 ตามด้วยสเตเบิลคอยน์ LUNA 

 

ไม่นาน Voyager Digital , Celsius และ Three Arrows Capital  กองทุนเฮดจ์ฟันด์คริปโทในสิงคโปร์ ได้เผชิญกับวิกฤต”การขาดสภาพคล่อง” ซึ่งทำให้ให้มีผลกระทบต่อคนไทยที่เป็นลูกค้าของแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลไทย อย่าง “ซิปเม็กซ์” ที่เป็นคู่ค้ากับ Celsius และ บาเบลล์ไฟแนนซ์ จนถึงปัจจุบันมีการแก้ไขอย่างต่อเนื่องพร้อมกับผู้เสียหายที่ยังคงเดินหน้าติดตามสินทรัพย์คืนมา

หลายๆวิกฤตที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมคริปโท สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤติสภาพคล่อง จาการสร้างเลเวอเรจมากเกินไปของโทเคนในตลาด เช่น กรณีโทเคน FTT ของ FTX และ LUNA 

ระวังเหยื่อวิกฤติ

BlockFi เหยื่อรายใหญ่ที่สุดของการล่มสลายของ FTX ได้ยื่นขอคุ้มครองการล้มละลายเมื่อวันที่ 28 พ.ย. โดยมีเจ้าหนี้มากกว่า 100,000 รายที่มีสินทรัพย์และหนี้สินตั้งแต่ 1 พันล้านดอลลาร์ถึง 10 พันล้านดอลลาร์

อัลเคช ชาห์ (Alkesh Shah) นักวิเคราะห์ของ Bank of America ธนาคารแห่งอเมริกา กล่าวว่านักลงทุนควรออกมาจาก FTX, BlockFi และธุรกิจคริปโทอื่น ๆ ที่ล่มสลาย

“สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องตระหนักจากปัญหาการล่มสลายของ FTX นั้นเกิดจากเลเวอเรจที่มากเกินไป หลักประกันที่ไม่มีสภาพคล่อง และการควบคุมความเสี่ยงที่จำกัด (หรือไม่มีโดยสิ้นเชิง) และไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะของคริปโต”  ชาห์ระบุ

โดยที่ความไม่แน่นอนและข่าวเชิงลบที่เกิดขึ้น มีแนวโน้มที่จะกดดันราคาคริปโทต่อไปในระยะเวลาอันใกล้นี้

พร้อมกับมองว่า ราคาคริปโทอาจปรับตัวลดลงอีก เนื่องจากการซื้อขายรายย่อยที่เก็งกำไรชะลอตัวและสถาบันต่าง ๆ ชะลอการเข้าถึงเพื่อประเมินความเสี่ยงในตลาด

วิกฤตกระตุ้น”กฎเกณฑ์”ตลาดคริปโท

ความวุ่นวายในตลาดคริปโท ได้กระตุ้นให้มีการเรียกร้องให้เพิ่มกฎระเบียบเพื่อปกป้องนักลงทุน สภาคองเกรสได้แนะนำร่างกฎหมายมากกว่า 50 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการควบคุม”สินทรัพย์ดิจิทัล”และ”เทคโนโลยีบล็อกเชน”

ซินเทีย ลัมมิส วุฒิสมาชิกสหรัฐ กล่าวที่งาน Crypto and Digital Assets Summit ในเดือนพ.ย. ว่า The Responsible Financial Innovation Act ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เธอสนับสนุน จะเป็นการเพิ่มข้อจำกัดสำหรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในตลาดคริปโท

ลัมมิส หวังว่าสมาชิกสภาคองเกรสถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อมีส่วนร่วมในการควบคุมที่เหมาะสม


ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่างให้ความเห็นว่าสภาคองเกรสและหน่วยงานกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐฯ (CFTC) จำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่ากำลังจริงจังกับกฎระเบียบที่สำคัญ และไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อดูแลตลาดคริปโท เนื่องจากมีได้รับผลกระทบหลายด้าน ทั้งผู้ให้บริการ ลูกค้าทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติควรเฝ้าดูพื้นที่นี้อย่างใกล้ชิด