โบรกดิ้นเบรกคำสั่งซื้อ ‘หุ้น MORE’ ผนึกตลาดหลักทรัพย์ระงับออเดอร์

โบรกดิ้นเบรกคำสั่งซื้อ ‘หุ้น MORE’ ผนึกตลาดหลักทรัพย์ระงับออเดอร์

จากปฏิบัติการของ “เฮีย ม.” และ “นาย ป.” ถล่มหุ้น MORE ร่วงติดฟลอร์ 2 วันติด สะเทือนตลาดทุน เมื่อ 14 พ.ย. นี้ ครบดีล T+2 แต่อาจจะไม่ได้รับการชำระคืนเงินก้อนโต กระทบโบรกเกอร์ดิ้นคุยตลาดหลักทรัพย์ฯ ผนึกกำลังสั่งเบรกคำสั่งซื้อหุ้น MORE

 

จากกรณีปฎิบัติการฉาวโฉ่หุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ถูกถล่มเทขายออกมาจนราคาร่วงฟลอร์ 2 วันติด (เมื่อวันที่ 10 และ11 พ.ย. 2565) และพบว่าเป็นคำสั่งซื้อขายผิดปกติที่ระดับราคา 2.90 บาทต่อหุ้น จำนวน 1,500 ล้านหุ้น คิดเป็นเงินกว่า 4,350 ล้านบาท จนบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ต้องตรวจสอบกรณีดังกล่าว ว่าใครเป็นคนคีย์ส่งคำสั่งซื้อ! 

และพบชื่อของ “นาย ป.” ซึ่งเป็นคนส่งคำสั่งซื้อขาย (ออเดอร์) เพียงคนเดียวไปราว 14-20 โบรกเกอร์ ขณะที่ฝั่งออเดอร์คีย์ขายหุ้น MORE ออกมาจาก 2 โบรกเกอร์รายใหญ่ ที่คาดว่าจะเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ “เฮียม.” ซึ่งจากการดูเส้นทางความสัมพันธ์พบว่าน่าจะเป็นกลุ่มพวกพ้องเดียวกันกับ “นาย ป.”

ดังนั้น กรณีเช่นนี้ในวันที่ 14 พ.ย. นี้ จะครบกำหนดการชำระเงินครบดีล T+2 ผู้คีย์ซื้อหุ้น (นาย ป.) หากไม่จ่ายเงินก้อนใหญ่ดังกล่าว “ภาระการจ่ายทั้งหมด” จะตกอยู่กับโบรกเกอร์ที่ต้องเป็นผู้จ่ายเงินแทนให้กับ เฮีย ม. ซึ่งเป็นฝั่งผู้ขาย …ปฎิบัติการนี้จึงไม่ต่างกับการปล้นเงินโบรกเกอร์เลย

 

การกระทำดังกล่าวน่าจะเกิดจากกลุ่มของเฮียม. และ นาย ป. ต้องการที่จะเอาตัวเองออกจาก หุ้นMORE  ทั้งหมด (ขายหุ้นกำเงินสดออกไป) ขณะที่ความผิดของ นาย ป. อาจจะแค่ “คีย์ออเดอร์ผิด” ส่งผลให้ไม่มีเงินจ่ายโบรกเกอร์ เต็มที่โบรกเกอร์ก็แค่ไล่ฟ้องกลายเป็นบุคคลล้มละลายอยู่ไม่กี่ปี แต่ไม่ถึงขั้นติดคุกติดตะราง

ทว่าในครั้งนี้ฝั่งเฮียม. และ นาย ป. คงลืมคิดไปว่าระดับความเสียหายนั้นสูงมากไป ฉะนั้น ครั้งนี้หลายโบรกเกอร์จึง “ไม่ยอม” ปล่อยผ่านยอมอายดีกว่าเสียเงิน ! และต้องการกำจัดกระบวนการปล้นเงินกันแบบโจ่งแจ้งเช่นนี้ โบรกเกอร์ที่เสียหายจึงรวมตัวกันไปพบกับทาง “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย”  (ตลท.) และ “สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์” (ก.ล.ต.) เพื่อให้หยุด! ธุรกรรมคำสั่งซื้อขายหุ้น MORE ทั้งหมด!

แต่เบื้องต้นทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ยอมให้ยกเลิกคำสั่งซื้อขายดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า จะส่งผลกระทบไปยังลูกค้ารายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย เพราะว่ามีการซื้อหุ้นต่อๆ กันไปเป็นลูกโซ่แล้ว ส่วนทาง ก.ล.ต. ก็พิจารณาว่าเป็นเรื่องระหว่างโบรกเกอร์กับลูกค้าเอง และเป็นความประมาทของโบรกเกอร์เท่านั้น  

ทว่า จากการชี้แจงให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นว่าประเด็นดังกล่าวเข้าความผิด พ.ร.บ. หลักทรัพย์ในแง่ของการเจตนาบิดเบือนราคาและปริมาณการหลักทรัพย์แล้ว ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจมีผู้ประมาทร่วมที่เป็นรายอื่นด้วยนอกจากเหล่าบรรดาโบรกเกอร์ เพราะวันนั้นราคาที่กระพริบ 2.90 บาท จำนวน 1,500 ล้านหุ้น ซึ่งถูกส่งคำสั่งซื้อมานั้นมีนัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทั้งมูลค่าและราคา ซึ่งระบบ AI ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องตรวจเจอแน่นอนว่ามีการส่งคำสั่งซื้อไม่ปกติ รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเห็นแน่นอนว่าคำสั่งซื้อเหล่านี้ถูกส่งมาจากบัญชีเดียวกันจากทุกโบรกเกอร์และเป็นชื่อเดียวกันอีกด้วย แต่ทำไมจึงไม่สอบถามไปทางโบรกเกอร์ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

ประกอบกับวานนี้ (12 พ.ย.) มีการประชุมของระดับ “ซีอีโอ บริษัทหลักทรัพย์” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี งานนี้เหล่า ซีอีโอ จึงขอประชุมด่วนร่วมกับผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งได้มีข้อสรุปร่วมกันว่า โบรกเกอร์ ผู้เสียหายยินดีที่จะถูกฟ้องร้อง ขอแค่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เบรกคำสั่งซื้อหุ้น MORE จำนวน 1,500 ล้านหุ้น ที่ “นาย ป.” ส่งคำสั่งซื้อไปแล้วแมทกับบัญชีโบรกเกอร์ไหน ซึ่งหากมีความเสียหายลูกค้าฟ้องร้องโบรกเกอร์จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด

ทั้งนี้ จากข้อสรุปเบื้องต้นกับทางตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจจะมีการเบรกคำสั่งซื้อหุ้น MORE ไว้ก่อน โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการรอเซ็นกับทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อน คาดว่าจะเป็นวันนี้ (13 พ.ย.) ก่อนครบดีล T+2 ที่ต้องชำระเงินช่วงเวลา 11.00 น. และจ่ายเงินผู้ขายเวลา 14.00 น. ซึ่งจะเป็นการเซ็นทุกโบรกเกอร์ที่เสียหาย(ฝั่งผู้ซื้อ) และโบรกเกอร์ที่ไม่เสียหาย(ฝั่งผู้ขาย)

แหล่งข่าววงการโบรกเกอร์ กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในวานนี้ (12 พ.ย.)  นาย ป. ได้ให้คนสนิทโทรมาเคลียร์ เพื่อขอแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจะจ่ายเงินทั้งหมด แต่ขอเวลาประมาณ 2-3 วัน ซึ่งโบรกเกอร์ต้องจ่ายเงินค่าหุ้นไปให้ผู้ขายก่อน แต่ไม่มีโบรกเกอร์รายไหนไปเจรจาด้วย  รวมทั้งตอนนี้เรื่องไปถึงขึ้นการฟอกเงิน และ ความผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์แล้ว

ดังนั้น หากตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินยอมเบรกคำสั่งซื้อหุ้นล็อตดังกล่าวไว้ก่อน ทางโบรกเกอร์ฝั่งขายหุ้นก็จะไม่ได้รับเงินเพื่อจะไปจ่ายต่อให้ผู้ขาย

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเด็นหุ้น MORE ส่วนหนึ่งเกิดจากความ “ประมาทเลินเล่อ” อย่างร้ายแรงของโบรกเกอร์เอง จนทำให้เกิดความเสียหายมูลค่าสูง แต่มองว่าหากหน่วยงานที่กำกับดูแลเข้ามาช่วยเหลือน่าจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนรายย่อยที่โดนผลกระทบขายหุ้นดังกล่าวออกไปไม่ได้เพราะราคาดิ่งฟลอร์

กล่าวโดยสรุป เรื่องราวทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากการที่ “เฮียม.” ต้องการปล่อยหุ้นที่มีในมือ หลังไม่ประสบความสำเร็จในการปั้นธุรกิจ เพียงแต่ไม่สามารถหาคนมารับซื้อได้ จึงเกิดปฎิบัติการลับ ตั้งนอมินีไล่เปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ต่างๆ คีย์คำสั่งรับซื้อหุ้นต่อ โดยสร้างสตอรี่ว่า “มือลั่น” คีย์ผิด

แต่เมื่อออเดอร์ “จับคู่ซื้อขายกันเรียบร้อย” หากผู้ซื้อไม่มีเงินมาชำระ โบรกเกอร์ที่ส่งคำสั่งซื้อหุ้น มีหน้าที่ต้องชำระเงินแทนทั้งหมด …แน่นอนว่า ด้วยวอลุ่มที่สูงรวมกันกว่า 4 พันล้านบาท บางโบรกเกอร์มีออเดอร์ฝั่งผู้ซื้อสูงหลัก 500-1,000 ล้านบาท หากฐานทุนไม่แข็งแรงพอ มีสิทธิโดนลบชื่อจากวงการได้เลย 

หลังจากนี้ยังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า ทางออกของเรื่องจะเป็นอย่างไร? …แต่ไม่ว่าจะออกมาท่าไหน เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นอีก “หนึ่งบทเรียนสำคัญ” ของวงการตลาดทุนได้เลย!