‘โซลาร์เซลล์’ ต้องมองไกลให้ถึงปลายทาง

ภายใต้วิกฤติโลกรวน ประเทศไทยได้เร่งเครื่องสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก (NDC) และความเป็นกลางทางคาร์บอน พลังงานแสงอาทิตย์จึงเปรียบเสมือนกุญแจดอกสำคัญในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

ด้วยต้นทุนที่ลดลงและการสนับสนุนจากภาครัฐทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 2.5 เมกะวัตต์เป็นกว่า 4,900 เมกะวัตต์ในเวลาเพียง 2 ทศวรรษ และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกภาคส่วน

ล่าสุดครม.ไฟเขียวมาตรการทางภาษีกระตุ้นให้เกิดการติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อปในบ้านของประชาชน นับเป็นความก้าวหน้าในการก้าวสู่ยุคพลังงานสะอาด แต่กระนั้น การที่จะทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาดที่สมบูรณ์และยั่งยืนอย่างแท้จริง ประเทศไทยจำเป็นต้องมองให้ไกลกว่าแค่ปริมาณการติดตั้ง และควรให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการวางระบบจัดการแผงโซลาร์เซลล์หลังสิ้นอายุขัยไปพร้อมกัน

ด้วยเพราะการส่งเสริมการใช้งาน โดยปราศจากโรดแมปการจัดการซากอย่างครบวงจร แม้ว่าจะทำให้แก้ปัญหาโลกร้อนได้สำเร็จ แต่จะเป็นการก่อปัญหาใหม่ให้กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะกลายเป็นมรดกที่ถูกทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังต้องจัดการ

แผงโซลาร์เซลล์ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานราว 25-30 ปี และจำเป็นต้องถูกปลดระวางเมื่อประสิทธิภาพลดลง ภายใต้แนวโน้มการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คณะผู้วิจัยประเมินว่าปริมาณขยะโซลาร์เซลล์ของประเทศไทยจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีขยะสะสมราว 9,900 - 57,200 ตัน ในปี พ.ศ. 2573 ก่อนจะเพิ่มเป็น 17,900 - 78,100 ตันในปี 2575 และคาดว่าจะเพิ่มสูง 431,000 - 728,000 ตัน ในปี 2593

เมื่อพิจารณาในแง่ของ ภาระการจัดการรายปีที่เกิดจากการติดตั้งจำนวนมากในช่วงปี พ.ศ. 2553 - 2563 คาดว่าประเทศไทยจะต้องจัดการขยะโซลาร์เซลล์ปีละ 18,700 - 28,900 ตันในปี 2583 และเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 44,600 - 66,200 ตันในปี 2593

นอกจากนี้คาดว่าภายในปี 2583 จะมีปริมาณโลหะหนักที่อยู่ในขยะโซลาร์เซลล์สะสม เช่น ตะกั่ว 3.0 - 17.2 ตัน และพลวง 6.9 - 40.0 ตัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หากไม่มีระบบการจัดการที่เหมาะสมและชัดเจนมารองรับ

ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีระบบจัดการแผงโซลาร์เซลล์หลังสิ้นอายุขัยที่ชัดเจน โดยมีเพียงแนวปฏิบัติของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ยังจำกัดอยู่ที่การฝังกลบ เผาทำลาย หรือส่งออกไปจัดการในต่างประเทศ ซึ่งแนวทางเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงที่จะก่อให้เกิดมลพิษจากการรั่วไหลของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว และพลวง

นอกจากความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งความไม่แน่นอนด้านการจัดการซากแผงโซลาร์เซลล์กำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงในการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

รายงาน CASE Thailand (2024) ระบุว่า การขาดกรอบนโยบายที่ชัดเจนส่งผลให้โครงการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปต้องบวก ‘ต้นทุนความเสี่ยง’ (risk premium) ประมาณ 0.5 - 0.6% เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายการจัดการซากในอนาคตที่ยังไม่มีกลไกความรับผิดชอบที่แน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น การขาดระบบรีไซเคิลยังเป็นการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ เนื่องจากอาจนำไปสู่การสูญเสียแร่ธาตุสำคัญ เช่น ทองแดงและเงิน ซึ่งประเมินว่ามีมูลค่าสูงถึง 281- 3,699 ล้านบาท จากปริมาณขยะโซลาร์เซลล์สะสมภายในปี 2583

งานวิจัยยังชี้ให้เห็นด้วยว่า การไม่รีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์จะส่งผลให้ Carbon Footprint ของการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์สูงขึ้นเกือบสองเท่า ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์ขาดความสะอาดอย่างแท้จริง

จะทำอย่างไรให้การจัดการแผงโซลาร์เซลล์หลังสิ้นอายุขัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับพลังงานแสงอาทิตย์อย่างยั่งยืน?

สิ่งสำคัญคือการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อวางรากฐานในการจัดการ ดังต่อไปนี้ 1.กำหนดความรับผิดชอบทางกฎหมาย (EPR/PPP) ผลักดันกฎหมาย EPR (Extended Producer Responsibility) หรือ PPP (Polluter Pays Principle) เพื่อกำหนดบทบาท กลไกทางการเงิน

และความรับผิดชอบในการเก็บคืน ใช้ซ้ำ รีไซเคิล และกำจัดซากแผงโซลาร์เซลล์อย่างโปร่งใส พร้อมทั้งกำกับดูแลการรายงานข้อมูลและการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability)

2.พัฒนาระบบฐานข้อมูลและติดตาม (PV Registry) พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางและระบบติดตามแผงโซลาร์เซลล์ (PV Registry and Traceability System) บูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถติดตามแผงตั้งแต่การนำเข้าจนถึงปลดระวาง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการวางแผนและทำให้ระบบ EPR/PPP ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.วางระบบเก็บคืนและการใช้ซ้ำ (Collection & Reuse) พัฒนาระบบการรวบรวม เก็บคืน และคัดแยก เพื่อประเมินสภาพและสนับสนุนการใช้ซ้ำ (reuse) ของแผงที่ยังใช้งานได้ ซึ่งช่วยลดปริมาณซากที่จะเข้าสู่ระบบรีไซเคิลและรักษามูลค่าทางเศรษฐกิจของวัสดุ

4.ยกระดับมาตรฐานโรงงานรีไซเคิล (Recycling Standards) กำหนดมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และความปลอดภัยสำหรับโรงงานรีไซเคิลในประเทศ พร้อมระบบรับรอง (certification) และกลไกจูงใจเพื่อสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีกู้คืนวัสดุที่มีประสิทธิภาพสูง

และ 5.ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา และโครงสร้างพื้นฐานหมุนเวียน สนับสนุนงานวิจัยด้านเทคโนโลยีรีไซเคิลรุ่นใหม่ การออกแบบแผงให้รีไซเคิลได้ง่ายขึ้น (Design for Recycling) และการพัฒนาอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างระบบการจัดการหลังสิ้นอายุขัย และเศรษฐกิจหมุนเวียนของโซลาร์เซลล์อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ข้อเสนอเหล่านี้คือ รากฐานที่สำคัญที่จะทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง ไม่ทิ้งภาระไว้ให้อนาคต ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาอุตสาหกรรมรีไซเคิล และเศรษฐกิจหมุนเวียนซึ่งเป็นกลไกสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน

และการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ แต่จะไปถึงจุดนั้นได้อยู่ที่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ต้องมองให้ไกลและเริ่มออกแบบอนาคตตั้งแต่วันนี้