ถึงเวลา กรุงเทพฯ ต้องมี PRTR-พรบ.อากาศสะอาด เพื่อหยุดวงจรมลพิษซ้ำซาก

กรุงเทพฯ กำลังเผชิญวิกฤตมลพิษทางอากาศที่รุนแรงและซ้ำซาก ซึ่งต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
KEY
POINTS
- กรุงเทพฯ กำลังเผชิญวิกฤตมลพิษทางอากาศที่รุนแรงและซ้ำซาก ซึ่งต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
- ข้อเสนอหลักคือการผลักดันให้มีกฎหมายสำคัญ 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด เพื่อสร้างสิทธิในอากาศดี และกฎหมาย PRTR เพื่อให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษ
- นอกจากการออกกฎหมายแล้ว ยังจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า และยานยนต์ให้เข้มงวดขึ้น พร้อมสร้างกลไกให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ
กรุงเทพฯ ต้องฟื้น ‘ปอดของเมือง’ แก้วิกฤติอากาศเป็นระบบ ดันพรยบ.อากาศสะอาด–PRTR–มาตรฐานปล่อยมลพิษ สร้างสิทธิอากาศดีให้ประชาชน ท่ามกลางสถานการณ์มลพิษทางอากาศที่ทวีความรุนแรงทั้งในกรุงเทพฯ และหลายพื้นที่ของประเทศ
“ธารา บัวคำศรี” ผู้อำนวยการโครงการ Climate Connectors สะท้อนภาพใหญ่ของกรุงเทพฯ ที่กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน พร้อมชี้ทางออกที่ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่มาตรการแก้ปัญหาแบบแยกส่วนเช่นที่ผ่านมา
โครงสร้างเมืองหลวงจากมุมสูง โดยอุปมา “ปอดสองข้างของกรุงเทพฯ” ได้แก่ ปอดนิเวศวิทยาอย่างบางกระเจ้า และปอดเศรษฐกิจอย่างสนามบินสุวรรณภูมิ อุณหภูมิพื้นผิวของสองพื้นที่นี้ต่างกันถึง 8–10 องศาเซลเซียส บ่งชี้ความไม่สมดุลระหว่างระบบนิเวศและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
"หากกรุงเทพฯ ต้องการกลับมาเป็นเมืองที่น่าอยู่และมีอากาศดีหายใจ การมองเพียงมาตรการเดี่ยว เช่น การย้ายท่าเรือคลองเตย ย่อมไม่เพียงพอ เพราะเมืองเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับห่วงโซ่อุปทานการผลิต การขนส่งสินค้า และการบริโภคในวงกว้าง"
ในเชิงระบบ “เมืองเองก็มีลมหายใจ” แบบแผนการกระจายตัวของก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ สารตั้งต้น PM2.5 ที่ตรวจจับด้วยดาวเทียม ได้เผยให้เห็นจังหวะการเต้นของเมืองตามกิจกรรมมนุษย์ ทั้งการเดินทางด้วยรถยนต์ เครื่องยนต์สันดาป โรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าฟอสซิล ไปจนถึงโรงกลั่นน้ำมัน บางช่วงของปีคุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ ยังได้รับผลโดยตรงจากแหล่งกำเนิดที่อยู่นอกเขตเมือง สะท้อนว่ามลพิษไม่รู้จักพรมแดน
ระดับภูมิภาคเองก็เผชิญปัญหา “มลพิษข้ามพรมแดน” ซึ่งไม่ใช่เพียงฝุ่นตัวใดตัวหนึ่ง แต่เป็นค็อกเทลของมลพิษทางอากาศที่มีรากเหงุมาจากการขยายพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและการทำลายผืนป่า ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เมืองและผู้คนยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงจากฝุ่นพิษอย่างต่อเนื่อง
"ธารา" เตือนว่า PM2.5 ไม่ใช่เพียงฝุ่นละเอียด หากแต่เป็นอนุภาครูพรุนที่สามารถพาสารก่อมะเร็งอย่าง PAHs และโลหะหนัก เช่น ปรอท แคดเมียม และอาร์เซนิกเข้าสู่ร่างกาย ทำให้มันกลายเป็น “ค็อกเทลพิษ” ที่คุกคามสุขภาพประชาชนอย่างร้ายแรง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลก ทั้งไฟป่า คลื่นความร้อน และพายุฝุ่นที่ถี่ขึ้น ยังผลักระดับมลพิษให้สูงขึ้นไปอีก แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของคุณภาพอากาศ สภาพภูมิอากาศ และสุขภาพที่ขาดออกจากกันไม่ได้
หากจะสร้างเมืองที่ผู้คน “หายใจได้” จำเป็นต้องเริ่มจากการยืนยันสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งต้องเดินคู่ไปกับการปฏิรูปเชิงกฎหมาย ทั้งการผ่านร่างกฎหมายอากาศสะอาด การผลักดันกฎหมาย PRTR ที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของรัฐสภา และการบรรจุแผนปฏิบัติการอากาศสะอาดไว้ในแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกตามความตกลงปารีส
อีกด้านหนึ่ง ประเทศจำเป็นต้องกำหนดค่ามาตรฐานการปล่อยมลพิษ PM2.5 จากแหล่งกำเนิดหลักให้เข้มงวด ทั้งโรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม และยานยนต์ พร้อมวางกลไกให้ผู้ก่อมลพิษต้อง “รับผิดชอบเต็มรูปแบบ” ไม่ใช่ผลักภาระไปให้ประชาชนเพียงฝ่ายเดียว
"ธารา" ทิ้งทายว่า หากไม่สร้างกลไกปกป้องคุณภาพอากาศอย่างจริงจัง วันนี้เมืองอาจยังมีลมหายใจ แต่ในอนาคตลมหายใจนั้นอาจเต็มไปด้วยฝุ่นพิษที่สังคมร่วมกันสร้างขึ้นเอง และเป็นภาระที่ยากจะแก้ไขหากลงมือช้าไปกว่านี้







