COP30 ปิดฉากแล้ว ยืดเยื้อจนได้ฉันทามติ สรุปการประชุมครั้งนี้ โลกได้อะไรบ้าง?

COP30 ไม่สามารถบรรลุข้อตกลง "เลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล" ที่ประชุมรับรอง "ชุดข้อตกลงเบเล็ม" (Belém Package) ซึ่งเป็นฉันทามติครอบคลุม 29 ฉบับในหลายประเด็น
KEY
POINTS
- COP30 ไม่สามารถบรรลุข้อตกลง "เลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล"
- มีความคืบหน้าด้านระดมทุนเพื่อสภาพภูมิอากาศอย่างน้อย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2035
- ประเทศร่ำรวยเพิ่มเงินช่วยเหลือเพื่อการปรับตัว 3 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี
- เปิดตัวกองทุน Tropical Forests Forever Facility อนุรักษ์ป่าฝนเขตร้อนแรกได้กว่า 6.7 พันล้านดอลลาร์
- ที่ประชุมรับรอง "ชุดข้อตกลงเบเล็ม" (Belém Package) ซึ่งเป็นฉันทามติครอบคลุม 29 ฉบับในหลายประเด็น
ท่ามกลางพายุโซนร้อนที่ยังคงกระหน่ำ ผู้แทนจากทั่วโลกทยอยเดินทางออกจากบราซิลเพื่อกลับประเทศ การประชุม “COP30” ปิดฉากลงด้วยบรรยากาศตึงเครียด หลังการเจรจาอย่างหนักหน่วงเรื่องอนาคตของ “เชื้อเพลิงฟอสซิล” ผู้ก่อวิกฤติโลกร้อนรายใหญ่สุด แต่จบลงด้วยข้อตกลงที่ "ไม่กล่าวถึงฟอสซิลโดยตรง" แม้จะเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งนี้ยังสร้างความคืบหน้าสำคัญในหลายด้าน ทั้งการเพิ่มวงเงินสนับสนุนด้านสภาพภูมิอากาศ การเดินหน้ากองทุนป่าเขตร้อน และกรอบความร่วมมือใหม่ที่เปิดทางให้ประเทศไทยต่อยอดสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
วันที่ 22 พฤศจิกายน ช่วงบ่าย ตามเวลาท้องถิ่นที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ผู้แทนจาก 195 ประเทศร่วมกันรับรอง “ชุดข้อตกลงเบเลง” (Belém Package) เพื่อแสดงความมุ่งมั่นของมนุษยชาติในการเปลี่ยนความเร่งด่วนให้กลายเป็นเอกภาพ และเปลี่ยนเอกภาพให้กลายเป็นการลงมือทำอย่างจริงจังเพื่อรับมือกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ
ข้อตกลงทั้ง 29 ฉบับที่ผ่านโดยฉันทามติ ครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม การเงินเพื่อการปรับตัว การค้า เพศวิถี และเทคโนโลยี พร้อมต่ออายุความมุ่งมั่นร่วมกันในการเร่งดำเนินการ และสร้างระบบสภาพภูมิอากาศที่ใกล้ชิดกับชีวิตของผู้คนมากขึ้น
สิ่งที่ทำให้ COP30 ถูกจับตาอย่างหนักคือการต้องได้รับความเห็นชอบจาก “เกือบ 200 ประเทศ” โดยแนวทางของ COP ไม่สามารถใช้มติเสียงข้างมากได้ แต่ต้องเป็น “ฉันทามติ” เท่านั้น ซึ่งทำให้ความเห็นต่างเพียงประเทศเดียวสามารถชะลอหรือคว่ำข้อตกลงทั้งฉบับได้
อังเดร กอร์เรอา ดู ลาโก ประธาน COP30 กล่าวว่า เมื่อเราจากเบเล็มไป ช่วงเวลานี้จะไม่ถูกจดจำในฐานะจุดสิ้นสุดของการประชุม แต่เป็นจุดเริ่มต้นของทศวรรษแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ จิตวิญญาณที่เราสร้างขึ้นที่นี่ไม่ได้จบลงเพียงแค่เสียงตีฆ้องปิดการประชุม แต่มันจะดำเนินต่อไปในทุกการประชุมของรัฐบาล ทุกห้องประชุมและสหภาพแรงงาน ทุกห้องเรียน ห้องแล็บ ชุมชนป่าไม้ เมืองใหญ่ และเมืองชายฝั่งทะเลทั่วโลก
พ่ายศึกผลักดัน “เลิกใช้พลังงานฟอสซิล”
ประธานาธิบดีบราซิล ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา พร้อมด้วยกว่า 80 ประเทศ รวมถึงสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญในการผลักดันพันธสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อ 2 ปีก่อนว่าต้องเดินหน้า “เลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล” ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
แม้กลุ่มประเทศเหล่านี้จะพยายามเรียกร้องอย่างหนักให้มีแผนออกจากฟอสซิลอย่างชัดเจน และสหราชอาณาจักรถึงขั้นร่วมลงนามในจดหมายแสดง “ความกังวล” ต่อร่างข้อตกลงที่ยื่นมาแบบ “รับหรือไม่รับ” แต่สุดท้ายเสียงเรียกร้องทั้งหมดก็ไม่เป็นผล เมื่อถ้อยคำที่ว่าด้วยการลดและเลิกใช้ฟอสซิลถูกลบหายไปจากร่างสุดท้าย หลังจากการคัดค้านแข็งกร้าวของประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่
ก่อนหน้านี้ สหภาพยุโรปถึงขั้นกำลัง พิจารณาถอนตัวจากโต๊ะเจรจา หากร่างข้อตกลงไม่ถูกปรับให้มีความเข้มแข็งด้านการลดการปล่อยก๊าซมากกว่านี้ ถือเป็นสัญญาณแรงที่สุดที่ EU ส่งออกมาในรอบการประชุมครั้งนี้
ในขั้นตอนแรก ฉบับร่างยังเปิดทางไว้ถึง 3 แนวทางสำหรับการทยอยเลิกใช้ฟอสซิล แต่ทุกอย่างถูกตัดออกจากเวอร์ชันท้ายสุด แม้โลกจะเพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ในปี 2023 ที่ COP28 ดูไบ ด้วยการเห็นพ้องร่วมกันเป็นครั้งแรกให้ “เปลี่ยนผ่านออกจากฟอสซิล” ก็ตาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ทว่าโรดแมปที่ทั่วโลกกำลังรอคอยกลับไม่มีวี่แววจะเกิดขึ้น และการเจรจาในปีนี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดว่า เส้นทางสู่ “ยุคหลังฟอสซิล” ไม่ได้ราบรื่น แต่เต็มไปด้วยแรงเสียดทานและทางตันที่ยิ่งทวีความซับซ้อน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันกลับแสดงความพึงพอใจกับผลลัพธ์ของการเจรจา โดยย้ำว่าพวกเขามี “สิทธิเต็มที่” ในการกำหนดจังหวะและวิธีการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องเดินตามแรงกดดันจากนานาชาติ
ดันเป้าระดม 1.3 ล้านล้าน ภายใน 2035
ที่ประชุม COP30 เดินหน้าเขย่าระบบการเงินโลกครั้งใหญ่ ด้วยการประกาศเดินตาม “Baku-to-Belém Roadmap to 1.3T” โดยประเทศภาคีรับทราบ ซึ่งร่วมพัฒนากับประธาน COP29 ในการเดินตามโรดแมปสู่การระดมเงินทุนสภาพภูมิอากาศอย่างน้อย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2035 เพื่อให้สอดรับกับความเร่งด่วนของวิกฤติสภาพภูมิอากาศ
โดยเน้นการระดมทุนร่วมระหว่างภาครัฐ–เอกชน และขยายช่องทางให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น ภายใต้ “Mutirão Decision” ที่เรียกร้องให้เร่งปฏิรูปธนาคารพหุภาคี เพิ่มบทบาทเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ–เงินให้เปล่า และขยายเครื่องมือการเงินสมัยใหม่ เช่น กลไกค้ำประกัน การเงินผสม (blended finance) และการแลกหนี้เพื่อสภาพภูมิอากาศ
นอกจากนี้ COP30 ยังเปิดตัวกรอบติดตามความโปร่งใสด้านเงินทุนภูมิอากาศระดับโลก หรือ Global Climate Finance Accountability Framework เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือและสร้างความไว้วางใจ แทนที่คำมั่นกระจัดกระจายด้วยระบบสนับสนุนที่วัดผลได้และเท่าเทียมกว่าเดิม
ควบคู่กันนั้น COP30 ยังเน้นย้ำความจำเป็นของระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่เปิดกว้างและสนับสนุนซึ่งกันและกัน พร้อมเตือนว่ามาตรการด้านสภาพภูมิอากาศต้องไม่ถูกใช้เป็นข้อจำกัดทางการค้าโดยแอบแฝง โดยได้เปิดกระบวนการหารือใหม่ด้าน “สภาพภูมิอากาศและการค้า” ภายใต้คณะอนุกรรมการ ซึ่งมีองค์การการค้าโลก (WTO), การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development: UNCTAD) และ International Trade Centre เข้าร่วม
เพื่อพิจารณาว่านโยบายการค้าและความร่วมมือระหว่างประเทศจะช่วยเสริมการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ถือเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมเศรษฐกิจโลกเข้ากับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างเท่าเทียม
ประเทศร่ำรวย ต้องจ่าย 3 แสนล้านทุกปี
ส่วนหนึ่งของเป้าหมาย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ตาม “Baku‑to‑Belém Roadmap” ระบุว่า ประเทศร่ำรวยให้คำมั่น จะเพิ่มวงเงินช่วยเหลือประเทศยากจนเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น 3 เท่าตัว อย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็นเป้าหมายระยะสั้นที่กำหนดไว้สำหรับปี 2025 ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่กำหนดในข้อตกลงก่อนหน้า
โดยในจำนวนนี้จะมีประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์ที่มุ่งเน้นไปที่มาตรการ “การปรับตัว” ของประเทศเปราะบาง
ทาง UNCTAD ชี้ชัดว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ คือขั้นต่ำที่กำหนดให้ประเทศร่ำรวยต้องระดมทุนและเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายใหญ่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์
ผลลัพธ์สู่ลุ่มแม่น้ำอเมซอน และพื้นที่อื่นๆ
COP30 ถือเป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์สำหรับการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศที่อิงกับธรรมชาติ การเปิดตัวกองทุน Tropical Forests Forever Facility (TFFF) นำเสนอรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในการจ่ายเงินตามผลลัพธ์ระยะยาวให้แก่ประเทศที่มีป่าฝนเขตร้อน เพื่อการอนุรักษ์ป่าที่ได้รับการตรวจสอบและยืนยันอย่างเป็นทางการ
กองทุนนี้สามารถระดมทุนได้กว่า 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะแรก โดยได้รับการรับรองจาก 63 ประเทศ สร้างฐานทุนถาวรสำหรับการปกป้องป่าไม้
นอกจากนี้ ภายใต้ Action Agenda ยังมีการประกาศสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับโครงการ United for Our Forests ซึ่งเสริมสร้างบทบาทผู้นำในระดับภูมิภาคและชนพื้นเมืองในการปกป้องระบบนิเวศ สิทธิในที่ดินตามกฎหมาย และการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการเกษตรนิเวศขนาดใหญ่และการฟื้นฟูธรรมชาติก็ได้รับการเปิดตัวเพื่อขยายผลโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่เป็นบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
นอกจากนี้ ประเทศสมาชิก 17 ประเทศได้เข้าร่วมโครงการ Blue NDC Challenge โดยให้คำมั่นที่จะบูรณาการโซลูชันด้านมหาสมุทรและสภาพภูมิอากาศเข้าสู่แผนระดับชาติ พร้อมทั้งเปิดตัว “Ocean Breakthroughs” 5 โครงการหลัก ที่มีแผนร่วมเพื่อเร่งโซลูชันด้านมหาสมุทร
ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของ Rio Convention ครอบคลุมการอนุรักษ์ทางทะเล พลังงานทดแทนจากทะเล อาหารจากแหล่งน้ำ การขนส่งทางทะเล และการท่องเที่ยว ผ่านความร่วมมือ One Ocean Partnership พันธมิตรได้ให้คำมั่นที่จะกระตุ้นเงินลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 เพื่อสร้างระบบนิเวศทางทะเลที่ฟื้นฟูได้ และสร้างงานสีน้ำเงิน 20 ล้านตำแหน่ง พร้อมฝังความเท่าเทียมทางทะเลไว้ในแผนการสร้างความยืดหยุ่นและความเจริญรุ่งเรืองด้านสภาพภูมิอากาศ
ความพยายามเหล่านี้รวมกันแสดงให้เห็นว่าการปกป้องและฟื้นฟูธรรมชาติ ตั้งแต่ป่าไม้จนถึงชายฝั่งและระบบนิเวศทางทะเล คือแกนหลักสำคัญของความทะเยอทะยานและการปฏิบัติในเรื่องสภาพภูมิอากาศ
รวมแผนที่หลายประเทศ-องค์กรร่วมมือ
COP30 กลายเป็นเวทีแห่งการ “ลงมือทำ” อย่างแท้จริง เมื่อมีประเทศมากกว่า 122 ประเทศ ส่งแผนลดก๊าซเรือนกระจก (NDCs) ที่ได้รับการปรับปรุงหรือแผนใหม่เข้ามา ถือเป็นก้าวสำคัญที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่คำนึงถึงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ผ่านวาระการดำเนินงานครั้งนี้
การประชุมได้เปลี่ยน Global Stocktake ให้กลายเป็นเข็มทิศนำทางเชิงยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงเมือง ภูมิภาค ภาคธุรกิจ นักลงทุน ภาคประชาสังคม และประเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน พร้อมประกาศแผนงานเร่งด่วนกว่า 120 โครงการ ครอบคลุมตั้งแต่ระบบพลังงาน ป่าไม้ มหาสมุทร ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตประจำวันของประชาชน
หนึ่งในโครงการริเริ่มสำคัญคือ “Fostering Investible National Implementation (FINI)” ที่มุ่งเป้าปลดล็อกการลงทุนในแผนการปรับตัวระดับชาติ (NAP) มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสามปี โดยคาดว่า 20% ของเงินทุนนี้จะมาจากภาคเอกชน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการวางแผนสู่การลงมือปฏิบัติอย่างรวดเร็วและครอบคลุม
นอกจากนี้ ธนาคารพัฒนาอินเตอร์อเมริกา (IDB) และกองทุนสภาพอากาศสีเขียว (GCF) ยังเน้นบทบาทของกลไกที่มีอยู่ในการขับเคลื่อนมาตรการปรับตัว ขณะที่มูลนิธิเกตส์ประกาศสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยด้วยเงินทุนกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน แผนปฏิบัติการด้านสุขภาพเบเลงที่ได้รับการรับรองจากกว่า 30 ประเทศและ 50 องค์กร ได้ยกระดับประเด็นสุขภาพสู่หัวใจของการรับมือกับสภาพภูมิอากาศ ด้วยงบสนับสนุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมสร้างระบบสุขภาพที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา
ในขณะเดียวกัน 10 ประเทศได้ประกาศสนับสนุนโครงการ RAIZ Accelerator เพื่อฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมที่เสื่อมโทรมและกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน โครงการนี้ต่อยอดจากโครงการ Green Way และ EcoInvest ของบราซิล ที่ระดมทุนได้เกือบ 6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อฟื้นฟูพื้นที่กว่า 3 ล้านเฮกตาร์ พร้อมสนับสนุนการวางแผนภูมิทัศน์และออกแบบโซลูชันทางการเงินแบบผสมผสาน
ประธานาธิบดีบราซิล ยังประกาศแผนงานเบเล็ม (Belém Roadmaps) สองโครงการสำคัญที่นำโดยประธานาธิบดี เพื่อเร่งผลักดันการหยุดยั้งและฟื้นฟูป่าไม้ รวมถึงวางแนวทางการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่คำนึงถึงมิติทางการเงิน เศรษฐกิจ และสังคมในระดับชาติและภูมิภาคอย่างรอบด้าน
ที่มารูป: COP 30 Press Office (COP30 Brasil Amazônia)







