สมุทรปราการเสี่ยง จมน้ำถาวร 30% เร่งแผนป้องกันเชิงพื้นที่ ก่อนสายเกินไป

สมุทรปราการมีความเสี่ยงที่พื้นที่กว่า 30% จะจมอยู่ใต้น้ำอย่างถาวรในช่วงปี 2573-2593 หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นตามการคาดการณ์ สาเหตุหลักเกิดจากวิกฤติโลกร้อน
KEY
POINTS
- สมุทรปราการมีความเสี่ยงที่พื้นที่กว่า 30% จะจมอยู่ใต้น้ำอย่างถาวรในช่วงปี 2573-2593 หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นตามการคาดการณ์
- สาเหตุหลักเกิดจากวิกฤติโลกร้อนที่ทำให้น้ำทะเลหนุนสูง พายุฝนรุนแรงขึ้น และน้ำเหนือหลาก ซึ่งส่งผลให้เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้งขึ้นในปัจจุบัน
- ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มีการวางแผนป้องกันเชิงพื้นที่อย่างเร่งด่วน เพื่อลดผลกระทบและรับมือกับภัยพิบัติก่อนที่จะสายเกินไป
ท่ามกลางวิกฤติโลกร้อนที่ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น เมืองชายฝั่งอย่าง “สมุทรปราการ” กำลังถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยในอนาคต ความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่เพียงเร่งให้เกิดคลื่นความร้อนหรือภัยแล้งเท่านั้น แต่ยังทำให้พายุฝนรุนแรงขึ้น น้ำเหนือหลาก และน้ำทะเลหนุน สถานการณ์เหล่านี้เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อการอยู่อาศัยของประชาชนและความยั่งยืนของเมืองใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
น้ำท่วมขังรอการระบาย-น้ำท่วมชายฝั่ง
"รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์" ผู้อำนวยการศูนย์เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้เชี่ยวชาญคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) เปิดเผยว่า ปัญหาน้ำเหนือหลาก น้ำท่วมขังรอการระบาย และน้ำท่วมชายฝั่ง จะเป็นปัญหาที่ชาวสมุทรปราการต้องเผชิญตลอดไป หากไม่มีการวางแผนรับมือ ป้องกัน และลดผลกระทบในระยะยาวจาก Climate Change
"แม้ในปี 2568 นี้ น้ำเหนือจะไม่ใช่ปัจจัยหลักของน้ำท่วม แต่กลับมีผลทำให้ระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองสายต่างๆ สูงขึ้นเพราะน้ำทะเลหนุน จนทำให้เกิดน้ำท่วมขังเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา ทั้งที่ปริมาณฝนสะสมไม่ถึง 70 มิลลิเมตร โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น ชุมชนริมถนนศรีนครินทร์ ถนนแพรกษา และถนนสุขุมวิท ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้มีแนวโน้มเกิดถี่และรุนแรงขึ้นในอนาคต"
แบบจำลองสถานการณ์น้ำท่วม
ทีมงานของ "รศ.ดร.เสรี" ร่วมกับ ESRI ได้ประเมินผลกระทบของน้ำท่วมชุมชนในอนาคต พบว่า ปริมาณฝนสูงสุดมักเกิดในเดือนตุลาคม และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 20–30%
"ทีมวิจัยใช้แบบจำลองน้ำท่วมความละเอียดสูงครอบคลุมพื้นที่ อ.บางพลี อ.บางเสาธง และ อ.บางบ่อ ซึ่งประกอบด้วยชุมชนบ้านจัดสรร โรงงาน และพื้นที่ชุ่มน้ำ เมื่อจำลองกรณีฝนตกหนัก 150 มม. ภายใน 6 ชั่วโมงตามการคาดการณ์ พบว่า หลายพื้นที่มีความเสี่ยงจะจมน้ำ (ตามเฉดสีน้ำเงิน) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าวจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงน้ำท่วมอย่างรอบคอบ"
30% ของพื้นที่สมุทรปราการจมน้ำ
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ หากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 0.30–0.70 เมตร ตามการคาดการณ์ของ IPCC ระหว่างปี 2573–2593 จะทำให้กว่า 30% ของพื้นที่สมุทรปราการจมน้ำถาวร ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อกรุงเทพมหานครที่อยู่ติดกัน เพราะสมุทรปราการเป็นด่านหน้ารับน้ำทะเลหนุน
รศ.ดร.เสรี เตือนว่า “เมื่อถึงเวลานั้น มันก็สายเกินไปที่จะแก้ไข” พร้อมย้ำว่าการวางแผนเชิงพื้นที่อย่างจริงจัง รวมถึงมาตรการลดผลกระทบและป้องกันน้ำท่วม เป็นเรื่องเร่งด่วนเพื่อความอยู่รอดของชาวสมุทรปราการและความยั่งยืนของเมืองในอนาคต
ระบบเตือนภัยท้องถิ่นเป็นหัวใจสำคัญ
แม้รัฐบาลกลางจะมีระบบแจ้งเตือนขนาดใหญ่ (Cell Broadcast / T-Alert) แต่ "รศ.ดร.เสรี" ย้ำว่า การวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ รวมถึงการสื่อสารและรับมือของท้องถิ่น ต้องเข้มแข็งและพร้อมใช้งาน เพื่อป้องกันความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นที่ใช้ J-Alert และ L-Alert เชื่อมต่อกัน เพื่อให้จังหวัดสามารถรับมือภัยเฉพาะพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว ประเทศไทยสามารถเรียนรู้แนวทางนี้ เพื่อสร้างเมืองชายฝั่งที่ยั่งยืน ปลอดภัย และพร้อมรับมือกับผลกระทบจากโลกร้อนและน้ำท่วมในอนาคต







