3 พายุถล่ม วิภา–คาจิกิ–หนองฟ้า สะท้อนจุดอ่อนไทย ต้องเสริม 4 ระบบเตือนภัยด่วน

3 พายุถล่ม วิภา–คาจิกิ–หนองฟ้า สะท้อนจุดอ่อนไทย ต้องเสริม 4 ระบบเตือนภัยด่วน

การถล่มของพายุ 3 ลูก (วิภา, คาจิกิ, หนองฟ้า) ได้เผยให้เห็นจุดอ่อนของระบบเตือนภัยไทย แม้มีการแจ้งเตือนผ่านมือถือหลายครั้ง แต่ยังคงเกิดความสูญเสีย รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ชี้ว่าไทยต้องเร่งเสริมระบบเตือนภัยให้ครบวงจรตามมาตรฐานสากล

KEY

POINTS

  • การถล่มของพายุ 3 ลูก (วิภา, คาจิกิ, หนองฟ้า) ได้เผยให้เห็นจุดอ่อนของระบบเตือนภัยไทย แม้มีการแจ้งเตือนผ่านมือถือหลายครั้ง แต่ยังคงเกิดความสูญเสีย
  • ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าไทยต้องเร่งเสริมระบบเตือนภัยให้ครบวงจรตามมาตรฐานสากล ซึ่งประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก คือ ความรู้ด้านความเสี่ยง, การติดตามและแจ้งเตือน, การเผยแพร่และสื่อสาร, และความสามารถในการตอบสนอง
  • จุดอ่อนสำคัญของไทยอยู่ที่การจัดการในระดับพื้นที่และความสามารถของท้องถิ่นในการเผยแพร่ข้อมูลให้ทั่วถึงและเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะพายุที่ก่อให้เกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่ม ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ระบบเตือนภัยพายุจึงถือเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยลดความสูญเสียและเพิ่มโอกาสในการเอาชีวิตรอด หากได้รับการพัฒนาให้เข้มแข็งและครอบคลุมทั้งระดับชาติและท้องถิ่นอย่างแท้จริง

พายุ 3 ลูกซ้ำไทย สูญเสียยากประเมินค่า

สถานการณ์จาก พายุวิภา คาจิกิ และหนองฟ้า ที่ถล่มประเทศไทยตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินในหลายจังหวัด ซึ่งไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้ทั้งหมด

"รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์" ผู้อำนวยการศูนย์เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้เชี่ยวชาญของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) เปิดเผยว่า ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้ใช้ Cell Broadcast แจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือไปยังประชาชนในพื้นที่เสี่ยงรวม 73 ครั้งในช่วงพายุวิภา 30 ครั้งในช่วงคาจิกิ และ 32 ครั้งในช่วงหนองฟ้า แม้จะมีการเตือนภัยต่อเนื่อง แต่ความสูญเสียก็ยังเกิดขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าประเทศไทยยังมี “ช่องโหว่” ที่ต้องรีบปิด

“เราไม่อยากเห็นความสูญเสียเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทุกภาคส่วนต้องร่วมถอดบทเรียนเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดคือ ไม่มีการสูญเสียชีวิต” รศ.ดร.เสรี กล่าว

4 องค์ประกอบของระบบเตือนภัย

ในยุคที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นถี่และรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือคลื่นความร้อน การมีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือเรื่องของชีวิต

ระบบเตือนภัยแบบ End-to-End หรือ “ครบวงจร” จึงกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่องค์การระหว่างประเทศอย่าง UNDRR (สำนักงานลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ) และ WMO (องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก) กำลังผลักดันให้ทุกประเทศนำไปใช้ภายใต้แนวคิด “Early Warnings for All” หรือ “การเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับทุกคน”

UNDRR และ WMO เผยว่า ระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพต้องประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลักที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ได้แก่

1. ความรู้ด้านความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (Disaster Risk Knowledge)

  • ต้องมีการระบุภัยคุกคามและภัยที่เกี่ยวข้อง
  • ประเมินความเปราะบาง ความสามารถในการรับมือ และความเสี่ยง
  • กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
  • รวมรวมและจัดการข้อมูลความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ

2. ระบบติดตามและบริการแจ้งเตือน (Monitoring and Warning Service)

  • มีระบบเฝ้าระวังที่ใช้งานได้จริง
  • มีบริการพยากรณ์และแจ้งเตือนภัย
  • มีโครงสร้างสถาบันรองรับการดำเนินงาน

3. การเผยแพร่และสื่อสารข้อมูล (Dissemination and Communication)

  • มีโครงสร้างการตัดสินใจและองค์กรที่พร้อมใช้งาน
  • มีอุปกรณ์และช่องทางการสื่อสารที่พร้อมใช้งาน
  • ข้อความแจ้งเตือนต้องเข้าใจง่าย และประชาชนสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

4. ความสามารถในการตอบสนอง (Response Capability)

  • มีแผนรับมือและมาตรการเตรียมความพร้อมที่ใช้งานได้จริง
  • มีการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้และให้ความรู้แก่ประชาชน
  • มีทรัพยากรและการประเมินผลของกิจกรรมสร้างความรู้

3 พายุถล่ม วิภา–คาจิกิ–หนองฟ้า สะท้อนจุดอ่อนไทย ต้องเสริม 4 ระบบเตือนภัยด่วน

รศ.ดร.เสรี ชี้ว่า แม้รัฐบาลไทยจะมีระบบติดตามและการสื่อสาร (ข้อ 1 และ 2) ที่ค่อนข้างเข้มแข็ง แต่หัวใจสำคัญของระบบอยู่ที่การจัดการในพื้นที่และศักยภาพของท้องถิ่น (ข้อ 3 และ 4) หากขาดการเตรียมความพร้อมในระดับนี้ การเตือนภัยก็จะไม่สามารถปกป้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งปิดช่องว่างดังกล่าวโดยด่วน

แนวคิด “Early Warnings for All” ไม่ใช่แค่การส่งสัญญาณเตือน แต่คือการสร้างระบบที่ประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือชนบท มีอินเทอร์เน็ตหรือไม่ สามารถรับรู้และตอบสนองต่อภัยพิบัติได้ทันเวลา โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก คนพิการ และผู้มีรายได้น้อย

โมเดล J-Alert สำหรับภัยขนาดใหญ่

เพื่อพัฒนาระบบเตือนภัยไทย “รศ.ดร.เสรี” ยกตัวอย่างกรณีของประเทศญี่ปุ่น ที่รัฐบาลกลาง โดยหน่วยงาน JMA และ FDMA รับผิดชอบการจัดทำแพลตฟอร์มกลางชื่อ J-Alert ซึ่งใช้สำหรับภัยขนาดใหญ่ระดับชาติ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ ภัยความมั่นคง และขีปนาวุธ โดยบังคับให้ทุกค่ายมือถือส่งข้อความ Cell Broadcast ตามข้อกำหนดของรัฐบาล

โครงสร้างการทำงานของ J-Alert มีการไหลของข้อมูลจากหน่วยงานกลาง เช่น สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (JMA) และหน่วยงานจัดการภัยพิบัติ (FDMA) ไปยังหน่วยงานท้องถิ่นและช่องทางสื่อสารต่างๆ โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้

  • การรับข้อมูลภัยพิบัติ : หน่วยงานกลางตรวจจับภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ หรือภัยคุกคามจากขีปนาวุธ
  • การส่งข้อมูลผ่านดาวเทียมและเครือข่ายสื่อสาร : ข้อมูลถูกส่งไปยังหน่วยงานท้องถิ่นและสื่อมวลชนผ่านระบบดาวเทียมและเครือข่ายดิจิทัล
  • การเผยแพร่สู่ประชาชน : ข้อมูลแจ้งเตือนถูกกระจายผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ โทรทัศน์และวิทยุ ลำโพงตามชุมชน โทรศัพท์มือถือ (ผ่าน Cell Broadcast) เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ป้ายดิจิทัลในพื้นที่สาธารณะ
  • การเข้าถึงในทุกพื้นที่ : ประชาชนในบ้าน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะสามารถรับข้อมูลได้ทันที ไม่ว่าจะอยู่ในเขตเมืองหรือชนบท

จุดแข็งของ J-Alert คือการถูกออกแบบให้ครอบคลุมภัยพิบัติขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง เช่น แผ่นดินไหวระดับรุนแรง สึนามิ ภัยคุกคามจากขีปนาวุธ ภัยความมั่นคงระดับชาติ ทุกค่ายมือถือในญี่ปุ่นมีหน้าที่ส่งข้อความแจ้งเตือนตามข้อกำหนดของรัฐบาลกลาง โดยไม่ต้องพึ่งพาการสมัครหรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใดๆ

L Alert ระบบกลางที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วน

อีกหนึ่ง Best Practice ของประเทศญี่ปุ่น ที่ “รศ.ดร.เสรี” ยกตัวงอย่างคือ L Alert โดยเป็นระบบกลางสำหรับการแบ่งปันข้อมูลภัยพิบัติจากหน่วยงานภาครัฐไปยังสื่อมวลชนและประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยีคลาวด์และการจัดการข้อมูลแบบ XML เพื่อให้การแจ้งเตือนเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

L Alert ที่ครอบคลุมตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลไปจนถึงการเผยแพร่สู่ประชาชน โดยมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้

1.สรุปบริการของระบบ

  • L Alert เป็นระบบที่รวบรวมข้อมูลภัยพิบัติจากหน่วยงานภาครัฐ
  • ข้อมูลถูกแปลงเป็นรูปแบบ XML และส่งต่อไปยังบริษัทสื่อสารและสื่อมวลชน
  • ช่วยให้การแบ่งปันข้อมูลในพื้นที่เกิดภัยเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

2. รูปแบบการใช้งาน

  • ใช้ได้ทั้งแบบ เชิงรุก (Active) และเชิงรับ (Passive)
  • ครอบคลุมทุกช่วงของภัยพิบัติ เช่น การป้องกันและเตรียมความพร้อม, การตอบสนอง, และการฟื้นฟู

3. การไหลของข้อมูล

  • ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐถูกจัดรูปแบบและส่งผ่านระบบ L Alert
  • ใช้รูปแบบ XML เพื่อให้สามารถประมวลผลและเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็ว
  • ข้อมูลถูกส่งไปยังหน่วยงานท้องถิ่น สื่อมวลชน และช่องทางสื่อสารต่างๆ

4. ช่องทางการเผยแพร่

  • โทรทัศน์ระบบดิจิทัล
  • การกระจายเสียงแจ้งเตือนฉุกเฉิน
  • วิทยุกระจายเสียง
  • อินเทอร์เน็ต (ผ่านคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และสมาร์ทโฟน)
  • ระบบแสดงผลสาธารณะ เช่น ป้ายอิเล็กทรอนิกส์ และวิทยุสื่อสารของเทศบาล

ระบบ L Alert ใช้เทคโนโลยีคลาวด์เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากและส่งต่อได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ท้องถิ่นเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบสำรองข้อมูลเพื่อความมั่นคงในการดำเนินงาน

“MIDORI” บูรณาการข้อมูลภัยพิบัติระดับจังหวัด

“รศ.ดร.เสรี” ได้ยกตัวอย่างระบบเตือนภัยไทยระดับท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ จังหวัดมิยางิ ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาระบบ MIDORI หรือ Miyagi Integrated Disaster Prevention Online System for Rapid and Accurate Information ซึ่งเป็นระบบออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อรวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ

การทำงานของระบบ MIDORI ที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับเทศบาลไปจนถึงศูนย์บัญชาการภัยพิบัติ โดยมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้

1. การเชื่อมโยงหน่วยงาน

  • ระบบ MIDORI ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลจากเทศบาล จังหวัดมิยางิ และหน่วยงานกลาง เช่น สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (JMA)
  • ข้อมูลถูกส่งต่อไปยังศูนย์บัญชาการภัยพิบัติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการตัดสินใจและสั่งการ

2. เว็บไซต์กลางสำหรับการจัดการข้อมูล

  • MIDORI มีอินเทอร์เฟซเว็บไซต์ที่รองรับการเก็บข้อมูลภัยพิบัติจากพื้นที่ต่างๆ
  • เทศบาลสามารถอัปเดตสถานการณ์และคำสั่งได้แบบเรียลไทม์

3. ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูล

  • โทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียง
  • โทรศัพท์มือถือผ่านระบบ Area Mail
  • ป้ายดิจิทัลและระบบเสียงตามสาย
  • แอปพลิเคชันและเว็บไซต์ของหน่วยงานท้องถิ่น

4. การสนับสนุนภาคสนาม

ระบบยังเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาคสนาม เช่น เฮลิคอปเตอร์ หน่วยกู้ภัย และศูนย์พักพิง เพื่อให้การตอบสนองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเด่นของ MIDORI คือ ข้อมูลถูกจัดการอย่างเป็นระบบจากแหล่งที่เชื่อถือได้ การส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้การตัดสินใจและการแจ้งเตือนเกิดขึ้นทันที และเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ

ทุกองคาพยพต้องร่วมกัน

“รศ.ดร.เสรี” บอกว่า ระบบ J-Alert เปรียบเหมือนกับระบบ T-Alert ของประเทศไทยตอนนี้ ที่ครอบคลุมภัยคุกคามขนาดใหญ่ระดับประเทศ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ ภัยความมั่นคง ขีปนาวุธ และภัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบวงกว้าง

โดยทุกค่ายมือถือต้องส่ง Cell BoardCast ตามข้อกำหนดของรัฐบาล ในขณะที่ภัยอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะพื้นที่-เฉพาะจุด เช่น น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก แผ่นดินถล่ม น้ำรอการระบาย เป็นต้น แต่ละจังหวัดในไทยควรมีการสร้าง Platform กลางของตนเอง ดังเช่น กรณี จังหวัดมิยางิ ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาระบบ MIDORI และมีการทำข้อตกลงกับค่ายมือถือ (บางค่าย) ในการส่งคำเตือน โดยระบบ L-Alert ผ่าน Application ของค่ายมือถือเอง

ดังนั้น จังหวัดในไทยต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ ประเมินความเสี่ยง และความรุนแรงของภัยได้ด้วยตนเอง และสามารถกระจายข่าวสารผ่านช่องทางอื่นๆ ได้เช่นเดียวกัน J-Alert และ L-Alert ก็สามารถเชื่อมโยงกันหากเกิดเหตุการณ์ขนาดใหญ่ที่ต้องการแจ้งเตือนเป็นวงกว้าง