น้ำท่วมวาระด่วน ชัชชาติ ชู 5 ปัจจัยรับมือภัยพิบัติ เร่งระบบสูบน้ำอัตโนมัติ

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เผย 5 หัวใจสำคัญในการจัดการภัยพิบัติของกรุงเทพมหานคร แนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมเป็นวาระเร่งด่วนอันดับแรก พัฒนา “โมเดลปั๊มน้ำอัจฉริยะ” เชื่อมโยงสถานีสูบน้ำทั่วกรุงเทพฯ เปลี่ยนระบบควบคุมจาก manual สู่ระบบอัตโนมัติ
KEY
POINTS
- ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เผย 5 หัวใจสำคัญในการจัดการภัยพิบัติของกรุงเทพมหานคร
- แนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมเป็นวาระเร่งด่วนอันดับแรก
- พัฒนา “โมเดลปั๊มน้ำอัจฉริยะ” เชื่อมโยงสถานีสูบน้ำทั่วกรุงเทพฯ เปลี่ยนระบบควบคุมจาก manual สู่ระบบอัตโนมัติ
สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ร่วมกับ MIT ASEAN Initiative และหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AmCham) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Disaster Management Conference: Technology, Innovation, and Research for Effective Disaster Response and Prevention (การประชุมด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ: เทคโนโลยี นวัตกรรม และการวิจัย เพื่อการรับมือและป้องกันภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ) ณ วัน แบงค็อก ฟอรัม หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือ การบรรยายจาก ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติของกรุงเทพมหานคร
โดย “ดร. ชัชชาติ” ได้แบ่งปันประสบการณ์และวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการภัยพิบัติ ว่ามีความซับซ้อนและท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่ทำให้ฝนตกหนักและรุนแรงขึ้นอย่างชัดเจน
“ในปี 2568 นี้ปริมาณน้ำฝนในเดือนเมษายนสูงเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ย 30 ปี นอกจากนี้ การเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นสูงก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคและอาคารถล่ม รวมถึงการพึ่งพาบริการพื้นฐานมากเกินไปก็เป็นความเสี่ยงเมื่อเกิดภัยพิบัติ”
ผู้ว่าฯ เผย 5 หัวใจสำคัญรับมือภัยพิบัติกรุงเทพฯ
“ดร. ชัชชาติ” แนะนำว่ามี 5 องค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยพัฒนาการบริหารจัดการภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ได้แก่ ความเข้าใจ การเตรียมพร้อม เทคโนโลยี ความร่วมมือ และการสื่อสาร ดังนี้
1. ความเข้าใจ : โลกมีความซับซ้อน จึงจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้ ยกตัวอย่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ศูนย์กลางอยู่ในเมียนมา ห่างออกไป 1,000 กิโลเมตร แต่กลับทำให้อาคารสูงในกรุงเทพฯ ถล่มได้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน การศึกษาพบว่าเป็นผลมาจากคลื่นแผ่นดินไหวความถี่ต่ำที่เดินทางได้ไกลและส่งผลต่ออาคารสูง การตรวจสอบภายหลังยืนยันว่ามาตรฐานอาคารของกรุงเทพฯ เพียงพอ แต่ก็ต้องสอบสวนสาเหตุที่อาคารถล่มเพิ่มเติม
2. การเตรียมพร้อม : เปรียบเทียบเมืองเสมือนร่างกายที่ต้องดูแลทั้งระบบหลอดเลือดแดงใหญ่ (โครงการขนาดใหญ่) และหลอดเลือดฝอย (รายละเอียดเล็กๆ) แม้จะมีโครงการระบายน้ำขนาดใหญ่ แต่การทำความสะอาดท่อระบายน้ำขนาดเล็กกว่า 6,000 กิโลเมตรทั่วกรุงเทพฯ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่มักถูกละเลยและเป็นสาเหตุของน้ำท่วมกรุงเทพฯ ได้ดำเนินการแก้ไขจุดเสี่ยงน้ำท่วม 737 แห่ง พร้อมสร้างแนวกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเตรียมปั๊มน้ำเคลื่อนที่
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับชุมชนเล็กๆ กว่า 2,000 แห่งในกรุงเทพฯ ด้วยการแจกถังดับเพลิงกว่า 40,000 ถัง จัดทำแผนที่ระบุตำแหน่งทรัพยากรด้านความปลอดภัย เช่น หัวจ่ายน้ำดับเพลิง และจัดอบรมการดับเพลิงที่ปรับให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เพลิงไหม้รถยนต์ไฟฟ้า แผนที่ความเสี่ยงภัยพิบัติบน GPS ก็ช่วยให้จัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เทคโนโลยี : กรณีตัวอย่างการบริหารจัดการภัยพิบัติของกรุงเทพมหานคร อย่างแนวคิด "เมืองอัจฉริยะพอดี" (Smart Enough City) คือการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ โดยต้องตอบโจทย์ประชาชน ออกแบบโดยประชาชน และมีการลงทุนที่คุ้มค่าและเชื่อถือได้ในยามวิกฤต ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ แอปพลิเคชัน Traffy Fondue (ทราฟฟี่ฟองดูว์) ซึ่งเปลี่ยนประชาชนให้เป็น "เซ็นเซอร์" รายงานปัญหาต่างๆ ในเมืองผ่านรูปภาพและพิกัด GPS ระบบ AI จะวิเคราะห์และส่งเรื่องตรงไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทำให้การแก้ปัญหารวดเร็วขึ้น
ในสามปีที่ผ่านมา มีการรายงานเกือบ 1 ล้านเรื่อง และแก้ไขได้เกือบ 8 แสนเรื่อง เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ประชาชนก็ใช้แอปฯ นี้ส่งภาพรอยร้าวของอาคารกว่า 20,000 รายงาน และวิศวกรผู้เชี่ยวชาญสามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นได้ถึง 90% ทำให้ประชาชนคลายความกังวลได้ในข้ามคืนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ระบบจักรยานสาธารณะที่ใช้ QR Code สแกน ก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นทางเลือกการเดินทางที่มีประสิทธิภาพเมื่อระบบขนส่งหลักหยุดชะงักในยามเกิดภัย โดรนก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยเหลือและกู้ภัย
4. ความร่วมมือ : การรับมือวิกฤตไม่สามารถทำได้โดยหน่วยงานเดียว กรุงเทพฯ ได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว และประสานงานกับหลายภาคส่วน ทั้งประชาชนอาสา ภาคเอกชน (80% ของรถแบ็คโฮที่ใช้ขนซากอาคารถล่มมาจากเอกชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย) ภาควิชาการ และภาคอุตสาหกรรม
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ความร่วมมือกับ Airbnb ซึ่งเกิดขึ้นก่อนเกิดแผ่นดินไหว โดย Airbnb เสนอที่พักฟรี 8,400 ห้องให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบในคืนที่เกิดเหตุ และได้ใช้จริงไปประมาณ 4,500 ห้อง ซึ่งเป็นที่พักที่ใกล้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนอยู่บ้านและไม่จำเป็นต้องย้ายไปยังศูนย์พักพิงที่อยู่ไกล นี่เป็นการร่วมมือกับองค์กรการกุศลของ Airbnb เป็นครั้งแรกในโลกที่ประสบความสำเร็จในระดับนี้
5. การสื่อสาร : ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการแจ้งเตือนภัยและการให้ข้อมูลที่ชัดเจนและรวดเร็ว ผู้ว่าฯ ระบุว่าสามารถตั้งศูนย์บัญชาการได้ภายใน 15 นาทีหลังเกิดแผ่นดินไหว และมีการเผยแพร่ข้อมูลหลายภาษา แม้จะไม่สามารถพยากรณ์แผ่นดินไหวได้ แต่ระบบ Cell Broadcast ที่เริ่มใช้งานหลังเกิดเหตุการณ์ สามารถให้เวลาแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ 3-4 นาที เนื่องจากคลื่นแผ่นดินไหวเคลื่อนที่ช้ากว่าความเร็วแสง
"ความไว้ใจ" และ "ความเห็นอกเห็นใจ"
ผู้ว่าฯ ชัชชาติย้ำว่า หัวใจสำคัญของการสื่อสารคือ "ความไว้ใจ (Trust)" และ "ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)" ความไว้ใจต้องสร้างสมมาเป็นเวลานาน เช่นจากความสำเร็จของ Traffy Fondue ส่วนความเห็นอกเห็นใจคือการเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของประชาชน เช่น ในยามน้ำท่วมคนอยากกลับบ้าน ไม่ใช่แค่สนใจระดับน้ำ หรือการเปิดประตูวัดเป็นที่พักพิงฉุกเฉินหลังแผ่นดินไหว การที่ผู้นำลงพื้นที่และให้กำลังใจทีมงานก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจในยามวิกฤติ
"การบริหารจัดการภัยพิบัติไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่ต้องอาศัยทั้งความไว้ใจและความเห็นอกเห็นใจ เพื่อสร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่นและพร้อมรับมือกับทุกวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
ยกระดับระบายน้ำอัตโนมัติ แก้น้ำท่วม กทม.
เมื่อถามถึงภัยพิบัติของ กทม. ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เน้นย้ำว่า สิ่งที่ทำก่อนแรก คือ เรื่องน้ำท่วม โดยให้เหตุผลว่า กทม. มีประสบการณ์เยอะในการรับมือกับปัญหาน้ำท่วม ซึ่งแตกต่างจากการรับมือกับแผ่นดินไหว ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยในพื้นที่ แม้จะมีการยกตัวอย่างโมเดลอื่นๆ อีกหลายอย่าง แต่เรื่องน้ำท่วมถือเป็นสิ่งเร่งด่วนและมีความสำคัญเป็นอันดับแรกที่ต้องดำเนินการ
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เปิดเผยถึงแนวคิดในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนา "โมเดลปั๊มน้ำ" สำหรับสถานีสูบน้ำต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร โดยมีเป้าหมายหลักคือการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ "การระบายน้ำ" และแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ โดยกล่าวว่า ปัจจุบันการควบคุมปั๊มน้ำของแต่ละสถานียังเป็นการ "manual" (ควบคุมด้วยมือ) ทำให้ยังไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มที่
ตอนนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การ 'ลิงก์กันได้' เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถานี รวมถึงการนำข้อมูลปริมาณน้ำฝนและระดับน้ำมาวิเคราะห์ เพื่อพยายามทำให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการบริหารจัดการน้ำ
โครงการดังกล่าวได้มีการศึกษาอยู่และเริ่มคุยกันแล้ว โดยมีคณาจารย์และกลุ่มนักศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดโจทย์และดำเนินการวิจัยตั้งแต่ประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ย้ำด้วยว่า ก่อนจะเดินหน้า จะต้องดูก่อนว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน ต้องประเมินประสิทธิภาพปัจจุบันก่อน เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหาและวางแผนได้อย่างแม่นยำ






