'วัน แบงค็อก' ร่วมเวที 'MIT' ชูแนวคิดรับมือภัยพิบัติด้วยการ 'ออกแบบยั่งยืน'

สถานทูตสหรัฐฯ, MIT ASEAN Initiative และ AmCham เป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งแรก “Disaster Management Conference” ณ One Bangkok Forum เสริมบทบาทความร่วมมือระหว่าง สหรัฐอเมริกา-ไทย และกลุ่มประเทศอาเซียนในการจัดการภัยพิบัติ
One Bangkok (วัน แบงค็อก) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการประชุมด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ ภายใต้หัวข้อ "เทคโนโลยี นวัตกรรม และการวิจัย เพื่อการรับมือและป้องกันภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ" (Disaster Management Conference: Technology, Innovation, and Research for Effective Disaster Response and Prevention) ซึ่งเป็นเวทีสำคัญระดับภูมิภาคด้านการจัดการภัยพิบัติ ที่จัดขึ้น ณ One Bangkok Forum ด้วยความร่วมมือระหว่าง สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย, โครงการ MIT ASEAN Initiative และหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AmCham)
วาระการประชุมเต็มไปด้วยนักวิชาการจากสถาบันชั้นนำอย่าง MIT (Massachusetts Institute of Technology หรือสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์) ผู้นำภาครัฐ และตัวแทนจากภาคธุรกิจเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ภายใต้เป้าหมายร่วมกันคือการเสริมสร้างความพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติที่ทวีความซับซ้อนมากขึ้นในยุคของ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ช่วงแรกของงานได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญร่วมกล่าวเปิดการประชุม ได้แก่ โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย, ดร. สรภพ เกียรติพงษ์สาร ผู้อำนวยการ MIT ASEAN Initiative และชาทิตย์ ห้วยหงส์ทอง ประธาน AmCham และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด
ต่อด้วยไฮไลต์ของงานคือ การบรรยายจากนักวิจัยระดับแนวหน้าจาก MIT โดย ศาสตราจารย์ มิโฮะ มาเซเรอูว์ (Miho Mazereeuw) ผู้อำนวยการ MIT Climate Mission และ Urban Risk Lab ได้นำเสนอหัวข้อ "Risk Reduction through Technology and Design" โดยชี้ให้เห็นว่าการออกแบบพื้นที่เมืองและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสามารถช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วม คลื่นความร้อน และแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการทำงานร่วมกับชุมชนและการพัฒนานวัตกรรมแบบมีส่วนร่วม
อีกหนึ่งช่วงบรรยายที่น่าสนใจ ดร. ไซ ราเวลา จากภาควิชา Earth, Atmospheric, and Planetary Sciences (EAPS) จาก MIT ได้นำเสนอหัวข้อ "Emerging MIT Tech Frontiers of Risk-based Resilience to Extremes in a Changing Climate"
นอกจากนั้นมี ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร บรรยายเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติของกรุงเทพมหานคร นอกจากนั้นการประชุมยังเปิดเวทีให้ภาคเอกชนได้แสดงวิสัยทัศน์ผ่านการเสวนาแบบกลุ่ม โดยมีผู้แทนจากองค์กรชั้นนำ อาทิ One Bangkok, Honeywell, SCG, McKinsey & Co. และ Western Digital ร่วมหารือถึงบทบาทของธุรกิจในการเสริมสร้างเมืองให้มีความยืดหยุ่น (resilient) พร้อมเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการป้องกันและรับมือกับความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศ
ความร่วมมือแน่นแฟ้นสหรัฐ-ไทย
โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กล่าวเปิดการประชุมด้วยการสะท้อนถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย โดยชี้ให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของสหรัฐ ในช่วงเวลาที่ไทยต้องเผชิญกับ ภัยพิบัติ และความท้าทายต่างๆ เช่น เหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ซึ่งสร้างความเสียหายใน 18 จังหวัด ได้กลายเป็นบทพิสูจน์สำคัญของความร่วมมือดังกล่าว
"กองทัพสหรัฐได้เข้าช่วยเหลือทันทีผ่านการจัดส่งเทคโนโลยีตรวจจับระยะไกลขั้นสูง เพื่อสนับสนุนภารกิจค้นหาและกู้ภัยที่ดำเนินการโดยฝ่ายไทย ณ อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เขตจตุจักร อุปกรณ์นี้ช่วยระบุจุดต้องสงสัยที่อาจมีผู้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังได้ถึง 70 จุด ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของผลลัพธ์เชิงรูปธรรมที่เทคโนโลยีนำมาให้ในสถานการณ์จริง"
5 หัวใจรับมือภัยพิบัติกรุงเทพฯ
ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แบ่งปันประสบการณ์และวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการภัยพิบัติ ว่ามีความซับซ้อนและท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่ทำให้ฝนตกหนักและรุนแรงขึ้นอย่างชัดเจน
"ในปี 2568 นี้ปริมาณน้ำฝนในเดือนเมษายนสูงเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ย 30 ปี นอกจากนี้ การเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นสูงก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคและอาคารถล่ม รวมถึงการพึ่งพาบริการพื้นฐานมากเกินไปก็เป็นความเสี่ยงเมื่อเกิดภัยพิบัติ"
ทั้งนี้ มี 5 องค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยพัฒนาการบริหารจัดการ ภัยพิบัติ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ได้แก่ ความเข้าใจ การเตรียมพร้อม เทคโนโลยี ความร่วมมือ และการสื่อสาร
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ย้ำว่า หัวใจสำคัญของการสื่อสารคือ "ความไว้ใจ (Trust)" และ "ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)" ความไว้ใจต้องสร้างสมมาเป็นเวลานาน ส่วนความเห็นอกเห็นใจคือการเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของประชาชน
นักวิจัย MIT เผย AI ลดความเสี่ยงจากภูมิอากาศสุดขีด
ดร. ไซ ราเวลา หัวหน้ากลุ่ม Earth Signals and Systems จากภาควิชา Earth, Atmospheric, and Planetary Sciences (EAPS) ของ MIT ได้บรรยายถึงพรมแดนใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในการลดความเสี่ยงภัยพิบัติที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการรับมือกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขีดที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก
ความท้าทายในการประเมินความเสี่ยง การประเมินความเสี่ยงภัยพิบัติทำได้ยากมาก เนื่องจากปัจจัยต่างๆ คือ ขาดข้อมูลในอดีต ข้อจำกัดของแบบจำลอง และความซับซ้อนของความเสี่ยง
One Bangkok รับมือภัยพิบัติด้วยเทคโนโลยี-ออกแบบยั่งยืน
วรวรรต ศรีสอ้าน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ One Bangkok บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมเวทีเสวนาภาคอุตสาหกรรม โดยกล่าวว่า สำหรับบริบทของกรุงเทพฯ ภัยพิบัติที่พบบ่อยและเป็นประเด็นหลักคือ น้ำท่วม ในขณะที่แผ่นดินไหวเป็นเหตุการณ์ที่ไม่บ่อยนัก
การวางแผนและป้องกันภัยของโครงการ One Bangkok ยึดหลักการสำคัญ 3 ประการตั้งแต่แรกเริ่ม ได้แก่ การให้ความสำคัญกับผู้คน (people-centricity), ความยั่งยืน (sustainability) ซึ่งครอบคลุมการบริหารจัดการภัยพิบัติ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการชีวิตประจำวัน
"แม้น้ำท่วมจะเป็นความเสี่ยงหลักของกรุงเทพฯ โครงการ One Bangkok ได้ออกแบบระบบป้องกันที่สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนระดับ 500 ปี พร้อมยกระดับพื้นที่โครงการจากถนนขึ้นไปถึง 7.5 เมตร นอกจากนั้นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เช่น One Bangkok Park ถูกวางแผนให้เป็นทั้งพื้นที่สาธารณะและระบบดูดซับน้ำธรรมชาติ ทั้งยังติดตั้งสถานีตรวจอากาศ 4 แห่ง ระบบตรวจวัดระดับน้ำ และประตูระบายน้ำ (flood gates) รวมถึง stop logs รอบพื้นที่เพื่อรับมือกับน้ำจากภายนอก ในด้านโครงสร้างมีการออกแบบสวนเชิงเส้น (linear parks) ที่สามารถดูดซับน้ำ และสร้างกำแพงภูมิทัศน์ที่ทั้งสวยงามและทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันน้ำ พร้อมถังเก็บน้ำฝนขนาด 15,000 ลูกบาศก์เมตร เพื่อการบริหารจัดการที่ยั่งยืน”
วรวรรต กล่าวด้วยว่า ถึงแม้กรุงเทพฯ ไม่ใช่เขตเสี่ยงแผ่นดินไหวสูง แต่โครงการ One Bangkok ยังคงยึดมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด โดยอาคารทุกหลังถูกเชื่อมโยงกันในระดับชั้นใต้ดิน มีการตอกเสาเข็มลึกถึง 80 เมตร ใช้เสาเข็มกว่า 2,600 ต้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.8 เมตร และเทฐานรากขนาดใหญ่กว่า 100,000 ตารางเมตร เพื่อสร้างความมั่นคงของโครงสร้าง
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โครงการได้วิเคราะห์และระบุจุดปรับปรุง โดยเฉพาะในระบบขนส่งแนวตั้ง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการอพยพหรือบริหารจัดการในภาวะวิกฤติ
ทั้งนี้ แนวคิด "Smart City Living" คือหัวใจของการพัฒนา One Bangkok โดยมีการติดตั้งกล้อง CCTV กว่า 5,000 ตัว ครอบคลุมพื้นที่ 1.8 ล้านตารางเมตร พร้อมจุดเก็บข้อมูลกว่า 1 ล้านจุด และเซ็นเซอร์ควบคุมกว่า 275,000 จุด เพื่อการจัดการอาคารอัจฉริยะ
โครงการยังให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการบริหารจัดการทั้งด้านความปลอดภัยและพลังงาน โดยมุ่งสู่เป้าหมาย Future-Proof คือสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานในอนาคตโดยไม่ต้องรื้อถอนใหม่ ตัวอย่างเช่น การออกแบบที่จอดรถใต้ดิน 8,000 คัน จากทั้งหมด 12,000 คัน ซึ่งสามารถแปลงสภาพเป็นพื้นที่ใช้สอยอื่นได้ หากกฎระเบียบเปลี่ยนแปลงในอนาคต
โครงการ One Bangkok ให้ความสำคัญกับ ความยืดหยุ่น ความปลอดภัย และความยั่งยืนในระยะยาว เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของเมืองในศตวรรษที่ 21






