ปลดล็อกพลังของการเงินที่ยั่งยืน : ปูทางสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ปลดล็อกพลังของการเงินที่ยั่งยืน : ปูทางสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เผยแพร่บทความ "ปลดล็อกพลังของการเงินที่ยั่งยืน : ปูทางสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" โดยมีเนื้อหา ดังนี้

การที่ทั่วโลกเล็งเห็นความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อรับมือกับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ยั่งยืน ส่งผลให้การเข้าถึงเงินทุนที่ยั่งยืนมีบทบาทที่สำคัญยิ่ง พลังการเปลี่ยนแปลงของการเงินในการขับเคลื่อนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเชิงบวกมีความชัดเจนมากขึ้น จะเห็นได้จากการที่รัฐบาล ภาคธุรกิจ และสถาบันการเงินต่างเริ่มยอมรับว่า ทุกการตัดสินใจลงทุนมีผลต่ออนาคตของโลกใบนี้

ความจำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจแบบ Net Zero เป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วน เพื่อจัดการก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาลถึง 50 กิกะตัน ที่ถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมทุกปี โดยเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่อปีลงเหลือศูนย์ ต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูงถึง 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2050 ซึ่งเป้าหมายที่ใหญ่ยิ่งนี้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมแรงร่วมใจจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแล สถาบันการเงิน นักลงทุน ผู้บริโภค และผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง การร่วมแรงร่วมใจจากทุกภาคส่วนนี้จะช่วยปูทางสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้นและช่วยเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ได้

ในขณะที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก กำหนดเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เพื่อต่อสู้กับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่บ่อยครั้งมักไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางสู่ Net Zero ระดับโลก สภาวะที่ต้องเลือกนี้ ถือเป็นความท้าทายในการมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืนและพร้อมฟื้นฟูแนวทาง "การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition)" จึงเป็นเรื่องจำเป็น นั่นหมายถึงการต้องหาจุดสมดุลระหว่างความท้าทายทางสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงความต้องการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่ยุติธรรมและเป็นระเบียบทั่วทุกภูมิภาค

ประเทศไทย เป็นหนึ่งประเทศแนวหน้าด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนภายใต้ความมุ่งมั่น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลงร้อยละ 30 - 40 ภายในปี 2030 ตั้งเป้าสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2065 บริษัทในประเทศไทยหันมาเดินหน้าด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG และนานาประเทศต่างให้การยอมรับคำมั่นในการลดการปล่อนก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050

ดังนั้น เพื่อก่อให้เกิดผลกระทบที่มีความหมายต่ออนาคตของโลก รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการออกนโยบายและแผนการดำเนินงานที่เข้มงวด เพื่อกำจัดคาร์บอนฯ จากเชื้อเพลิงฟอสซิลจนเหลือศูนย์ตามภาคอุตสาหกรรม ทั้งภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลเหล่านี้มีอำนาจในการออกนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างตลาดใหม่ๆ ที่เน้นเทคโนโลยีการกำจัดคาร์บอนฯ จากเชื้อเพลิงฟอสซิล และรับรองว่าจะมีปัจจัยการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพียงพอ นอกจากนี้ ภาครัฐยังอาจใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมรูปแบบการเข้าถึงเงินทุนและสิ่งจูงใจเพื่อส่งเสริมผู้บุกเบิกเทคโนโลยีเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและสร้างสภาพแวดล้อมที่มีส่วนช่วยในการเข้าถึงเงินทุนที่ยั่งยืน

บรรดาบริษัทและภาคเอกชนเองต่างต้องเพิ่มความพยายามพร้อมให้คำมั่นที่น่าเชื่อถือเรื่องการลดปริมาณ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ขององค์กร การกำหนดเป้าหมาย Net Zero บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และแผนดำเนินการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและแผนการดำเนินงานของรัฐภาคจะช่วยให้บริษัทเหล่านี้เป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจให้บริษัทอื่นดำเนินการตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อห่วงโซ่มูลค่าและห่วงโซ่อุปทานของตน ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั่วทั้งองค์กร

ในฐานะที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการเข้าถึงเงินทุนที่ยั่งยืน ภาคการเงินจึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ สถาบันการเงินสามารถช่วยจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ปรับเปลี่ยนการเข้าถึงเงินทุนและการลงทุนของตนในสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero และพัฒนานวัตกรรมโซลูชันทางการเงินที่ส่งผลกระทบทางตรงต่อเศรษฐกิจที่แท้จริง สถาบันการเงินต้องตรวจสอบอย่างละเอียดว่า โครงการที่ตนให้การสนับสนุนทางการเงิน อนุมัติสินเชื่อและลงทุน มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการตัดสินใจทางการเงินมีส่วนช่วยส่งเสริมให้เกิดอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย หรือ UOB เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินชั้นนำที่ให้การสนับสนุนการเข้าถึงเงินทุนที่ยั่งยืน เราเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนต่อโลก ด้วยการนำปัจจัยด้านความยั่งยืนมารวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางดำเนินธุรกิจ นำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ยั่งยืน พร้อมคงไว้ซึ่งความรับผิดชอบขององค์กร ธนาคารฯ จึงได้พัฒนากรอบแนวคิด Green Umbrella Frameworks ขึ้น ประกอบด้วยการเข้าถึงเงินทุนที่ยั่งยืนสำหรับอาคารสีเขียว การเข้าถึงเงินทุนที่ยั่งยืนเพื่อเมืองอัจฉริยะ สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนด้าน เศรษฐกิจหมุนเวียน สินเชื่อและบริการเพื่อธุรกิจการค้าระหว่างประเทศสีเขียว และสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่าน กรอบแนวคิดที่กล่าวถึงนี้นำเสนอโซลูชันสินเชื่อครบวงจรสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ และเปิดโอกาสให้ ยูโอบี ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น

โดยสรุปสำคัญคือ การปลดล็อกการเข้าถึงเงินทุนที่ยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งต่อการปูทางสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น การดำเนินการสู่เป้าหมาย Net Zero ระดับสากลและความพยายามร่วมกันของภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการเงินนับเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้กับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และช่วยสร้างโลกที่ซึ่งเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจะเติบโตร่วมกันได้อย่างสันติ โมเมนตัมของการเข้าถึงเงินทุนที่ยั่งยืนจะขยายยิ่งขึ้นจากการที่หลายประเทศ อย่างประเทศไทยที่กล้าดำเนินการ และการที่สถาบันการเงิน "ยูโอบี" ที่กล้าเป็นผู้นำขับเคลื่อน ถึงเวลาแล้วที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดจะคว้าโอกาสนี้และร่วมแรงร่วมใจกันมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืนและครอบคลุมสำหรับทุกคน