EXIM BANK คาดส่งออกปี 69 โต 0-2% ตั้งเป้าขยายพอร์ต SME ส่งออกหนึ่งเท่า

EXIM BANK คาดส่งออกปี 69 โต 0-2% ตั้งเป้าขยายพอร์ต SME ส่งออกหนึ่งเท่า

EXIM BANK ประเมินส่งออกไทยปี 2569 ชะลอตัวเหลือ 0-2% เซ่นพิษสงครามการค้าและบาทแข็ง ประกาศปรับยุทธศาสตร์ปีหน้าเป็น "Export Co-pilot" ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้า SME ผู้ส่งออกเพิ่ม 100% ตรึงปล่อยสินเชื่อคงค้างที่ 1.8 แสนล้าน

นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า แนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 13% แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากฐานที่ต่ำในช่วงครึ่งปีแรกและการเร่งส่งออก (Front-loading)

อย่างไรก็ตาม สำหรับ ปี 2569 คาดการณ์ว่าการส่งออกจะขยายตัวเพียง 0-2% เนื่องจากต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งฐานการส่งออกสูง สงครามการค้า ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของค่าเงินบาทซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรของผู้ส่งออก

นายชลัช กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของภาคการส่งออกไทยคือปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ส่งออกของไทยแทบไม่เติบโต โดยคงระดับอยู่ที่ประมาณ 27,000 ราย แบ่งเป็นรายใหญ่ประมาณ 6,000 ราย และ SMEs ประมาณ 22,000 ราย

ความน่ากังวลคือ แม้ SMEs จะมีจำนวนถึงเกือบ 80% ของผู้ส่งออกทั้งหมด แต่กลับสร้างมูลค่าส่งออกได้เพียง 10% ของมูลค่ารวม ต่างจากประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามที่มีจำนวนผู้ส่งออก SME มากกว่าไทยถึง 3 เท่า

"เป้าหมายสำคัญของ EXIM BANK ในปีหน้าคือการเพิ่มจำนวนผู้เล่นในตลาดส่งออก เราตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าผู้ส่งออก SMEs ในพอร์ตของธนาคารให้เพิ่มขึ้น 100% หรือเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว จากปัจจุบันที่มีลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ประมาณ 2,000 ราย ให้ขยับขึ้นเป็น 4,000 ราย"

นายชลัท กล่าวว่า โจทย์ใหม่ของ EXIM BANK คือจะทำอย่างไรให้จำนวนรายผู้ส่งออกเพิ่มมากขึ้น แทนที่จะมุ่งเน้นแต่การให้สินเชื่อเพื่อขยายยอดเพียงอย่างเดียว เราต้องสร้างผู้ส่งออกหน้าใหม่ (New Exporter) และทำให้ผู้ส่งออก SMEs ที่มีอยู่เดิมมีความเข้มแข็งขึ้น

สำหรับเป้าหมายผลดำเนินการในปี 2569 นายชลัชระบุว่า ธนาคารตั้งเป้ายอดสินเชื่อคงค้าง (Outstanding Loan) ไว้ที่ระดับประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับปัจจุบัน แต่จะมีการปรับเปลี่ยนไส้ในของพอร์ตสินเชื่อ โดยจะเพิ่มสัดส่วนของวงเงินเพื่อการส่งออกให้มากขึ้น แทนการปล่อยสินเชื่อเพื่อหมุนเวียนธุรกิจ (Working Capital) ทั่วไป เพื่อให้เม็ดเงินสินเชื่อถูกนำไปใช้ในการกระตุ้นภาคการส่งออกอย่างแท้จริง

ทิศทางการดำเนินงานของ EXIM BANK จะเดินหน้าบทบาท "Export Co-pilot" หรือ เพื่อนคู่คิดที่พร้อมยืนเคียงข้างผู้ประกอบการ โดยเน้นกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่

1. การเติมออเดอร์และหาตลาดใหม่ (New Frontiers) โดยการร่วมมือกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน มุ่งเน้นการหาผู้ซื้อ (Buyer) ในตลาดใหม่ๆ เช่น แอฟริกา ตะวันออกกลาง หรือซาอุดีอาระเบีย ให้กับผู้ส่งออกไทย แทนการพึ่งพาตลาดเดิมอย่างสหรัฐหรือจีน ที่มีความเสี่ยงเรื่องกำแพงภาษี โดยมีสินเชื่อ EXIM Export Booster ช่วยเติมเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ

2. การใช้เครื่องมือประกันการส่งออก โดยมีการให้สินเชื่อพร้อมประกัยการส่งออก “EXIM Safe Trade Credit” รวมทั้งได้มีการหารือกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ เพื่อส่งเสริมการค้ำประกันการส่งออกรวม 1 แสนล้านบาท เพื่อช่วยปิดความเสี่ยงให้ผู้ส่งออกกล้าบุกตลาดใหม่ โดยคาดว่าจะช่วยสร้างมูลค่าการส่งออกได้ถึง 2 แสนล้านบาท รวมถึงการเสนอเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (FX)เพื่อให้ SMEs มีเกราะป้องกันที่ครบถ้วน

3. การยกระดับสู่ Digital Documentation ร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทยในการพัฒนาระบบเอกสารดิจิทัลเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและลดต้นทุนให้กับผู้ส่งออก

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในภาคใต้ โดยให้สินเชื่อฟื้นฟูสำหรับนิติบุคคล วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0% ในปีแรก และผ่อนชำระนาน 3 ปี เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจสามารถกลับมาเดินหน้าต่อได้ทันที

"เราจะไม่ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ให้สินเชื่อ แต่จะเป็นพันธมิตรที่ช่วยลดความเสี่ยง หาตลาด และเติมความรู้ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักรบเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน"

บาทแข็ง ทำผู้ส่งออกกำไรหด

นายชลัท กล่าวถึงสถานการณ์ความผันผวนของค่าเงินบาทว่า ทิศทางที่บาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะผู้ส่งออก SMEs ที่กำไรหายโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากผู้ประกอบการมักขาดเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงและบุคลากรที่เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ต้นทุนทางการเงิน

นายชลัช อธิบายว่า หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเพียง 1 บาท เช่น จาก 33 เหลือ 32 บาทต่อดอลลาร์ จะส่งผลให้กำไรของผู้ส่งออกจะหายไปเกือบ 2% และหากแข็งค่าขึ้น 2 บาท กำไรอาจหายไปถึง 5%

“ปัญหาใหญ่คือ SMEs มักมุ่งเน้นแต่การผลิตและส่งออกให้ได้ตามออเดอร์ โดยไม่ได้คำนวณกำไรขาดทุนจากการแลกเปลี่ยนเงินตราในแต่ละธุรกรรมอย่างละเอียด ทำให้เมื่อได้รับเงินจริง ที่แปลงเป็นเงินบาทแล้ว อาจพบว่าขาดทุนหรือกำไรหดหายไปมาก”

ในขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ มักมีทีมบริหารจัดการความเสี่ยง มีการจองซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward) หรือมีเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ที่ดีอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากความผันผวนนี้มากนัก

ขณะที่ผลกระทบต่อการชำระหนี้คืนธนาคาร (Loan Repayment) ยังไม่ปรากฏชัดเจน เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของ EXIM Bank เป็นรายใหญ่ที่มีความเสถียร หรือหากเป็นรายที่ได้รับผลกระทบ ธนาคารก็มีมาตรการพักชำระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้รองรับอยู่แล้ว