อนาคตที่น่ากลัว จากการเปลี่ยนแปลง | บวร ปภัสราทร

อนาคตที่น่ากลัว จากการเปลี่ยนแปลง | บวร ปภัสราทร

อนาคตที่น่ากลัว คือ อนาคตที่มาพร้อมกับความเดือดร้อนจากผลของการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับอนาคตนั้น นักปราชญ์บอกว่าคนไม่ได้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคต แต่ต่อต้าน การที่ตนเองต้องเปลี่ยนแปลงจากอนาคตนั้น

แต่ไม่ว่าจะพยายามต่อต้านอนาคตมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถทำให้วันพรุ่งนี้เหมือนกับเมื่อวานนี้ได้ตลอดไป ทำได้มากที่สุดแค่ยืดเวลาไปได้สักระยะหนึ่งเท่านั้น ช้าหรือเร็วก็จะมีวันพรุ่งนี้ที่ไม่เหมือนเมื่อวานนี้อย่างแน่นอน

เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากจนกระทั่งไม่มีใครหยุดอยู่กับที่เดิมได้อย่างยาวนานเหมือนแต่ก่อน  เคยดึงเวลา 3G ไว้ได้ร่วมสิบปีจากการที่คนให้บริการไม่อยากลงทุน  อยากให้ใช้ 2G ไปจนตนได้กำไรเยอะๆ แต่วันนี้พอมี 5G กลับต้องยอมรับมาใช้งานในแทบจะทันที 

การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นกิจกรรมภาคบังคับสำหรับวันนี้ ผู้นำพากันฝึกฝนวิทยายุทธ์ในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่วนสำคัญที่สุดคือการบริหารการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงจากบุคลากร การเปลี่ยนแปลงหลายครั้งที่ผ่านมาต้องลงทุนลงแรงกันมากมาย มีบางครั้งที่การเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตที่ดีกว่ามีต้นทุนเป็นความเสียหายนานาประการจากการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง  

แต่ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นพร้อมกับความเสียหายมากแค่ไหน  การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงก็ยังต้องเกิดขึ้น เพราะไม่มีใครสามารถชนะอนาคต โดยอยู่กับอดีตตลอดไปได้

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสเปนเมื่อ 2-3 ปีมาแล้ว ค้นพบความจริงที่สำคัญมากสำหรับการบริหารการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดความเสียหายจากการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้น

งานวิจัยบอกว่า การเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตที่ดีกว่าจะเกิดขึ้นโดยปราศจากความเสียหายใดๆ   หากเกิดขึ้นในระหว่างที่ผู้นำองค์กรนั้นมีแนวทางการบริหารที่สามารถสร้างความเชื่อถือและผูกพันกับบุคลากร โดยเริ่มต้นตั้งแต่การบริหารอย่างยุติธรรม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ

ถ้าคนหนึ่งทำได้ทุกอย่าง แต่อีกคนหนึ่งทำอะไรก็ผิดไปหมด การเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตจะมีการต่อต้านเสมอ เพราะคนกลัวการเลือกปฏิบัติที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทใหม่ของอนาคต อยู่กับปีศาจที่เห็นอยู่แล้วในวันนี้ น่ากลัวน้อยกว่าปีศาจที่ยังไม่เคยเจอะเจอมากมายนัก 

ผู้นำที่ยึดหลักคนมาก่อนงาน นำการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าผู้นำที่นำโดยเอางานนำหน้า คนตามหลัง คือคนจะย่ำแย่แค่ไหนจากการงานที่ฉันมอบหมายไม่สำคัญ งานฉันต้องสำเร็จให้ได้ ฉีดวัคซีนให้ลูกน้อง แต่ไม่เผื่อแผ่ไปถึงครอบครัว เพราะลูกน้องฉันจะได้ไม่ติดโรคจนทำการงานไม่ได้ ลูกน้องจะห่วงใยครอบครัวแค่ไหนก็เป็นเรื่องที่ลูกน้องต้องไปหาหนทางเอาเอง เพราะครอบครัวไม่ได้ช่วยฉันทำงาน ถ้าเป็นแบบนี้จะมีใครบ้างที่อยากเดินหน้าไปสู่อนาคตกับผู้นำที่ไม่ใยดีกับสุขทุกข์ของลูกน้อง 

ถ้าบริหารโดยมีการแบ่งปันอำนาจ เรื่องไหนใครจะตัดสินใจอะไรได้บ้าง ไม่รวบอำนาจไว้ที่ผู้นำ คนจะรับการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า อนาคตจะมาแบบไหน ตัวฉันเองก็พอมีอำนาจที่จะรับมืออนาคตนั้นได้บ้าง  ฉันไม่ต้องคอยถามนายใหญ่ว่าจะให้ทำอย่างไรกับอนาคตที่กำลังจะต้องเผชิญหน้านั้น ผู้นำกำหนดขอบเขตหน้าที่ของตนเองอย่างชัดเจน ว่าแค่ไหนคือหน้าที่ที่ฉันทำ ไม่ใช่ฉันทำหน้าที่ครอบจักรวาล ทำแม้กระทั่งเรื่องปลูกผักชี การที่ผู้นำยุ่งไปหมดทุกเรื่องทำให้คนกลัวอนาคต เพราะไม่รู้ว่าจะวุ่นวายกับชีวิตการงานของตนเองมากขึ้นแค่ไหนในวันหน้า ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีใครมาต่อต้าน   อย่าบริหารแบบกระจุกอำนาจ โดยทุกอย่างต้องรอฟังจากฉันเท่านั้น จงรีบแบ่งปันอำนาจออกไปโดยทั่วกัน

คนจะไม่กลัวอนาคต ถ้าผู้นำแสดงให้เห็นว่านำอย่างมีจริยธรรม และซื่อสัตย์  นำโดยมีหลักว่าแค่ไหนคือความดี แค่ไหนไม่ใช่ความดี  อะไรที่หลักการบอกว่าไม่ดี ผู้นำก็ไม่ทำ ไม่ใช่ยกเว้นว่าอะไรที่ไม่ดีมีแต่ฉันเท่านั้นที่ทำได้   ซื่อสัตย์ต่อผู้คนร่วมงานคือไม่หักหลังใครต่อใคร  เดินหน้าสู่อนาคตกับผู้นำที่นำไปหักหลังไปน่ากลัวอย่างยิ่ง ยอมอยู่ที่เดิมที่ยังพอเดาได้ว่าเมื่อไหร่จะถูกหักหลังอาจปลอดภัยกว่า  ถ้านำกันแบบหักหลังนิยม คือเอาตัวรอดไปในทุกเรื่อง จะเหลือคนเดินร่วมทางไปสู่อนาคตแต่เฉพาะคนที่พร้อมจะหักหลังนายใหญ่เท่านั้น.