จับตาอนาคต AI แดนมังกร จะแซงหน้าอเมริกา-ยุโรป หรือไม่?

จีนดูน่ากลัวและอาจสามารถแซงสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในอนาคตได้ไม่ยาก
ในยุคอุตสาหกรรม 4.0 มีการกล่าวกันว่า มหาอำนาจโลกเปลี่ยนจากการแข่งขันไปอวกาศ (Space Race) เป็นการพัฒนา AI แข่งกัน ประเทศใดที่ทำเรื่อง AI ได้ดีกว่า ประเทศนั้นมีโอกาสสร้างความได้เปรียบในยุคอุตสาหกรรม 4.0 โดยจะพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ได้ดีกว่า สามารถเพิ่มศักยภาพการผลิตและสร้างให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศดีกว่า ดังนั้นจึงพบว่ากว่า 30 ประเทศทั่วโลกเร่งพัฒนากลยุทธ์ AI เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายนี้
เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาทาง Center for Data Innovation ได้ออกรายงานเรื่อง “Who is winning the AI race: China, the EU or the United States? 2021 Update” ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบศักยภาพการพัฒนา AI ของประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และกลุ่มสหภาพยุโรป เป็นรายงานล่าสุดหลังจากที่เคยนำเสนอผลการศึกษาแบบเดียวกันในครั้งแรกเมื่อเสิงหาคมปี 2562
รายงานปี 2562 เป็นการเปรียบเทียบโดยใช้ตัวชี้วัด 30 ตัวและแบ่งเป็น 6 กลุ่มคือ ด้านทักษะบุคลากร ด้านงานวิจัย ด้านการพัฒนา ด้านการประยุกต์ใช้งาน ด้านข้อมูล และด้านฮาร์ดแวร์ ซึ่งจากผลการศึกษาในปีนั้น สหรัฐอเมริกายังนำจีนและสหภาพยุโรปอยู่ใน 4 ด้านคือ ด้านผู้เชี่ยวชาญ ด้านงานวิจัย ด้านการพัฒนา และด้านฮาร์ดแวร์ แต่จีนเป็นฝ่ายนำในด้านข้อมูล และด้านการประยุกต์ใช้งาน โดยภาพรวมจากคะแนนเต็ม 100 สหรัฐอเมริกามีคะแนนนำที่ 44.2 คะแนน จีน 32.3 คะแนน และสหภาพยุโรปได้ 23.5 คะแนน
สำหรับรายงานในปีนี้เป็นการใช้ตัวชี้วัดชุดเดิม แต่มีการอัพเดทข้อมูลล่าสุดสำหรับ 15 ตัวชี้วัด และเพิ่มตัวชี้วัดขึ้นอีกหนึ่งด้าน ซึ่งผลการสำรวจก็ยังออกมาเช่นเดิม คือสหรัฐอเมริกายังนำเป็นที่หนึ่งด้วยคะแนนรวม 44.6 คะแนน ตามด้วยจีน 32 คะแนน และสหภาพยุโรป 23.3 คะแนน หากดูคะแนนรวมเพียงผิวเผินจะเห็นว่าช่องว่างระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ข้อเท็จจริงจากการพิจารณาตัวชี้วัดที่มีข้อมูลมาอัพเดท 15 ตัวจะพบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของตัวชี้วัดเหล่านั้นจีนมีคะแนนเข้ามาใกล้สหรัฐอเมริกามากขึ้น
สหรัฐอเมริกามีคะแนนรวมสูงกว่าจีนเพราะทำคะแนนได้ดีในตัวชี้วัดที่มีค่าน้ำหนักสูงในบางตัวอย่างเช่น เรื่องเงินลงทุนในบริษัทกลุ่ม Start-up ทางด้าน AI ที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนเงินมากกว่าจีนถึง 8,000 ล้านดอลลาร์ และเงินลงทุนทางด้านวิจัยและพัฒนาของบริษัทซอฟต์แวร์ของสหรัฐอเมริกานั้น สูงกว่าบริษัทในจีนถึง 3 เท่า รวมถึงคุณภาพด้านวิจัยที่ตีพิมพ์ของสหรัฐอเมริกาก็ยังโดดเด่นกว่า
แต่ทั้งนี้ภาพรวมยังเป็นเช่นเดิมที่สหรัฐอเมริกานำอยู่ในทุกด้านยกเว้นด้านข้อมูล และด้านการประยุกต์ใช้งาน ซึ่งในด้านข้อมูลทีมวิจัยใช้ตัวชี้วัดหลายด้าน อาทิ จากปริมาณการใช้บรอดแบนด์ การชำระเงินผ่านมือถือ การสร้างข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT ข้อมูลใหม่อื่นๆ ที่สร้างขึ้น ข้อมูลด้านการแพทย์ ข้อมูลพันธุกรรม และข้อมูลแผนที่ที่มีความละเอียดสูง ซึ่งโดยรวมจีนได้คะแนนทางด้านนี้ 11.6 ตามด้วยสหรัฐอเมริกา 8.0 และสหภาพยุโรป 5.3 คะแนน
ส่วนด้านการประยุกต์ใช้งานผู้วิจัยยังใช้ข้อมูลเก่าในรายงานปี 2562 โดยวัดจากจำนวนแรงงานของบริษัทที่มีการประยุกต์ใช้ AI ซึ่งจีนมีจำนวนคนทำงานเป็นจำนวนมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่อีกตัวชี้วัดหนึ่งที่จีนดูโดดเด่น คือ จำนวน Supercomputer ปีล่าสุดที่ติดอันดับ Top 500 ของโลก ซึ่งมีจำนวนถึง 214 เครื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีเพียง 113 เครื่อง และสหภาพยุโรป 91 เครื่อง โดยจีนเริ่มมีบริษัทที่ออกแบบ AI Chip เพิ่มขึ้นเป็น 29 บริษัท ขณะที่สหรัฐอเมริกามี 62 บริษัท ส่วนบริษัทชั้นนำดำเนินธุรกิจด้าน Semiconductor ที่ติดอันดับ Top 15 ของโลกนั้นจีนยังไม่มีจึงต้องพึ่งทางสหรัฐอเมริกาที่มีถึง 8 บริษัท และเป็นของสหภาพยุโรป 1 บริษัท
จากผลการศึกษาโดยรวมแม้สหรัฐอเมริกายังเป็นผู้นำทางด้าน AI แต่ด้วยนโยบายของรัฐบาลจีนที่มุ่งเน้นในด้านนี้ ประกอบกับจำนวนงบประมาณมหาศาล พร้อมกับเริ่มมีการใช้งานแล้วจำนวนมาก ทำให้จีนดูน่ากลัวและอาจสามารถแซงสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในอนาคตได้ไม่ยาก