กฟผ. ลุยจัดหาก๊าซ LNG ระยะยาว บริหารโรงไฟฟ้าต้นทุนต่ำ กดค่าไฟประชาชน

นายนรินทร์ เผ่าวณิชย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คนที่ 17 ประกาศกลยุทธ์สำคัญเพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นมากกว่าผู้ดูแลความมั่นคงทางไฟฟ้า แต่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศ ด้วยการมุ่งเน้นการจัดหาเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพและการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าต้นทุนต่ำ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงราคาพลังงานที่สมเหตุสมผล

นายนรินทร์ กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อต้นทุนค่าไฟของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติคือราคาเชื้อเพลิง ดังนั้น กฟผ. จึงมุ่งใช้กลยุทธ์การจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ด้วยสัญญาในระยะยาว เพื่อช่วยลดต้นทุนพลังงานและเพิ่มเสถียรภาพของราคา

ปัจจุบัน กฟผ. ได้เริ่มดำเนินการนำเข้า LNG ภายใต้สัญญาระยะสั้น (Short-term) 3.5 ปี ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2570 โดยสามารถจัดหา LNG ได้ในราคาที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนด จากการซื้อในช่วงที่ผ่านมา ราคาที่จัดหาได้ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยที่ กกพ. กำหนดประมาณ 30% ส่วนการจัดหา LNG ระยะยาว 10-15 ปี มีผู้สนใจมากกว่า 20 ราย คาดว่าจะเปิดประกวดราคาภายในปี 2569 มั่นใจว่าจะสามารถหาราคา LNG ต้นทุนต่ำกว่าราคา มาตรฐานที่ กกพ. กำหนด

พร้อมยืดอายุโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำอาทิ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ โรงไฟฟ้าน้ำพอง พร้อมแสวงหาโอกาสต่อยอดธุรกิจแอลเอ็นจี โดยล่าสุดบริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง กฟผ. กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รับอนุมัติการลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ Topside สูบถ่ายแอลเอ็นจี จากเรือขนส่งเข้าสู่สถานีแอลเอ็นจี ที่ท่าเทียบเรือที่ 2 ของสถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุด แห่งที่ 2 จ.ระยอง

"นอกจากกลยุทธ์การจัดหาเชื้อเพลิงแล้ว กฟผ. ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าต้นทุนต่ำ เพื่อเป็นฐานในการรักษาเสถียรภาพของค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชน  อาทิ การเดินเครื่องโรงไฟฟ้าต้นทุนต่ำ กฟผ. จะรักษาและช่วยให้โรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำสามารถเดินเครื่องต่อไปได้ เช่น โรงไฟฟ้าแม่เมาะ และโรงไฟฟ้าน้ำพอง เพื่อเป็นฐานในการช่วยรักษา ระดับค่าไฟ และยืดอายุโรงไฟฟ้าแม่เมาะ กฟผ. ได้ตัดสินใจยืดอายุการใช้งานของโรงไฟฟ้าแม่เมาะออกไปอีกประมาณกว่า 10 ปี เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่"

"การดำเนินงานขององค์กรต้องสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพลังงานในสามด้านหลัก คือ ความมั่นคง (Security) ความยั่งยืน (Sustainability) และความสามารถในการจ่าย (Affordability/เป็นธรรม)"

ในด้านการเงิน กฟผ. ยังคงพยายามบริหารจัดการหนี้คงค้างในส่วนของค่าเชื้อเพลิง (หนี้ค่า Ft) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 40,000 กว่าล้านบาท โดย กฟผ. คาดหวังว่าจะสามารถเรียกคืนหนี้คงค้างทั้งหมดได้ภายในปี 2570 การบริหารจัดการหนี้ส่วนนี้จะดำเนินไปพร้อมกับการรักษาค่าไฟให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ถูกที่สุด เพื่อให้เกิดความสมดุล

"กฟผ. เชื่อว่าการมุ่งเน้นการจัดหา LNG ในราคาที่ต่ำที่สุดและการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพจะสามารถขับเคลื่อนให้ราคาค่าไฟอยู่ในระดับที่ต่ำได้ โดยคาดว่าช่วงปีหน้าจะอยู่ที่ 10-12 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู"

ปี 2569 กฟผ.มีแผนลงทุนกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท อาทิ โครงการก่อสร้างและปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าประมาณ 13,000 ล้านบาท งานปรับปรุงและบำรุงรักษาเสถียรภาพโรงไฟฟ้าแม่เมาะ 9,200 ล้านบาท

โดยจะเร่งผลักดันโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำในเขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี รวมกำลังการผลิต 1,638 เมกะวัตต์ ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ด้วยพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีอัจฉริยะ สร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาว และการเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าหมายลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อการผลิตไฟฟ้า 1 หน่วย ในอัตราขั้นต่ำ 20% ภายในปี 2571 

นอกจากนี้ ยังศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงระบบเชื้อเพลิงผสมไฮโดรเจน ของไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมรวมทั้งสิ้น 6 โรงไฟฟ้า ตั้งเป้าหมายการนำไฮโดรเจนมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าร่วมกับก๊าซธรรมชาติในสัดส่วน 5% ได้แก่

โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อย โรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าน้ำพอง และโรงไฟฟ้าจะนะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการรายงานผลการศึกษา ข้อจำกัดของโรงไฟฟ้าต่อคณะกรรมการ กฟผ. การศึกษาและพัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียบนพื้นพื้นที่ศักยภาพ

ขณะเดียวกัน ยังผลักดันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กไม่เกิน 300 เมกะวัตต์ (SMR) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ความมั่นคงของระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด มีต้นทุนที่แข่งขันได้สอดรับกับความต้องการของนักลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้นเป็นปี 2593

พร้อมกันนี้ ยังเร่งพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย 3 แห่ง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นระบบไฟฟ้า รองรับความผันผวนจากการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำแบบสูบกลับ ได้แก่ เขื่อนวชิราลงกรณ เขื่อนจุฬาภรณ์ และเขื่อนกะทูน เพื่อพัฒนาแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานให้สามารถจ่ายไฟเข้าระบบไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการพัฒนาศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การเชื่อมโยงกับโรงไฟฟ้าเอกชน และการขยายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัลในพื้นที่เขตพัฒนพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
 
ขณะที่แผนการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของกฟผ. ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาซึ่งที่ผ่านมามีข้อเรียกร้องจากหลายภาคส่วนให้เพิ่มสัดส่วนของกฟผ.มากกว่า 50% เพื่อสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า จำเป็นต้องรอแผน PDP ใหม่ออกมาให้ชัดเจน  ขณะที่การเพิ่มโรงไฟฟ้าใหม่ในแผน PDP นั้น 

ขณะนี้คณะอนุกรรมการจัดทำแผน PDP อยู่ระหว่างการพิจารณาปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ไฟฟ้า ปัจจุบันโรงไฟฟ้าที่ยังเดินเครื่องอยู่มีกำลังการผลิตเพียงพอหรือไม่ รวมถึงการประเมินยืดอายุและยกเลิกการใช้งานโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการยืดอายุโรงไฟฟ้าแม่เมาะออกไปอีกซึ่งถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด  

ส่วนแผนการเดินหน้าลงทุนโรงไฟฟ้าภาคใต้ตามแผน PDP 2018 นั้นความต้องการใช้ไฟฟ้าพื้นที่ภาคใต้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งในแผน PDP เดิมยังคงมีแผนบรรจุุโครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ในแผน PDP ฉบับใหม่จะมีการปรับปรุงอย่างไรี้ยังต้องพิจารณาเพิ่มเติมว่าจะมีการเพิ่มเติม