ผู้ช่วย รมว.พาณิชย์ คาด ส่งออกปี 69 ไทยเจอผลกระทบทรัมป์หนักแน่

ผู้ช่วย รมว.พาณิชย์ คาด ส่งออกปี 69 ไทยเจอผลกระทบทรัมป์หนักแน่

"กิริฎา"คาดส่งออกไทยปี 69 รับผลกระทบภาษีสหรัฐฯเต็มๆ ตลอดทั้งปี แต่ไม่ทรุดหนักแน่นอน และยังแข่งขันได้ดี ขณะที่แถลงการณ์ร่วมฯไทย-สหรัฐฯ ทำไทยเสียเปรียบสมบูรณ์แบ ไม่ใช่ Win-Win อย่างตั้งใจ

นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการประเมินเบื้องต้น แม้ว่าการส่งออกสินค้าไทยในปี  69 จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงภาษีตอบโต้ที่เรียกเก็บจากไทย 19% ตลอดทั้งปี แต่คาดว่า การส่งออกไทยจะไม่ตกต่ำอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ แต่ก็คงไม่ขยายตัวได้สูงเหมือนปี 68 ทั้งนี้เพราะจากการหารือกับผู้ส่งออกสินค้าบางอุตสาหกรรม เช่น อาหารสำเร็จรูป ให้ข้อมูลว่า อาหารสำเร็จรูปของไทยยังสามารถแข่งขันกับคู่แข่งประเทศอื่นๆ ในตลาดสหรัฐฯได้แน่นอน และมูลค่าการส่งออกน่าจะขยายได้ประมาณ 8% เมื่อเทียบกับปี 68

“ผู้ส่งออกให้ข้อมูลว่า อาหารสำเร็จรูปของไทยเป็นผู้นำในตลาดโลก ทั้งในเรื่องคุณภาพ ความแข็งแกร่งของแบรนด์ ชื่อเสียง สหรัฐฯและหลายประเทศทั่วโลกมีความต้องการมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารกระป๋อง กระป๋องพร้อมรับประทาน ขนมขบเคี้ยว ซอสปรุงรสต่างๆ โอเบสต์ โปรดักส์ ฯลฯ จึงไม่กลัวการแข่งขันกับจีนเลย โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ที่มาร์ตินสูงสุดในทุกตลาด แม้ภาษีสูงก็ยังสู้ได้ ที่สำคัญ จีนอาจถูกเก็บภาษีตอบโต้สูงกว่าไทย หรืออย่างกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ ที่ไทยมีแข่งขันกับอินเดียในตลาดสหรัฐฯ ก็ยังแข่งขันได้ดี เพราะอินเดียถูกเก็บภาษีตอบสูงกว่าไทยเช่นกัน”

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์เบื้องต้น พบว่า มูลค่าส่งออกสินค้า 20 อันดับแรกของไทยไปสหรัฐฯ นั้น มีจีนเป็นคู่แข่งอยู่ 18 รายการ การที่จีนถูกเก็บภาษีสูงกว่าไทย จะทำให้สินค้าไทยสามารถทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯได้ ซึ่งจะเป็นโอกาสสำหรับสินค้าไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 26 ต.ค.68 ไปแล้วนั้น หลายฝ่ายมองว่า ไทยเสียเปรียบสหรัฐฯโดยสมบูรณ์แบบ ไม่ได้เป็นการทำความตกลงที่ได้ประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย หรือ Win-Win เพราะไทยต้องเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯในสัดส่วนมากถึง 99% ของสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ จากเดิมไทยตั้งเป้าหมายจดเปิดตลาด 90%

นอกจากนี้ สหรัฐฯยังเรียกร้องให้ไทยดำเนินการต่างๆ ตามที่สหรัฐฯต้องการ และได้พยายามเจรจากับไทยมาโดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้รับการตอบจากไทย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องจากสหรัฐฯ การแก้ไขกฎหมายแรงงานเพื่อให้สิทธิแรงงานชุมนุมและต่อรองกับนายจ้าง จนส่งผลให้สหรัฐฯใช้มาตรการด้านการค้าต่างๆ กับไทย เช่น ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี)

รวมถึงเรียกร้องให้ไทยแก้ไขกฎหมายยกเลิกการให้เงินรางวัลนำจับสินค้านำเข้า งดเว้นการเก็บภาษีการค้าบริการดิจิทัล ฯลฯ แต่ในแถลงการณ์ร่วมฯ ได้กำหนดประเด็นต่างๆ เหล่านี้ให้ไทยยอมรับดำเนินการ และจะบรรจุอยู่ในคามตกลงการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ทีมเจรจาของไทย (ทีมไทยแลนด์) ได้เดินหน้าเจรจารายละเอียดทางเทคนิคในประเด็นต่างๆ ที่จะบรรจุอยู่ในความตกลงฯอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใประเด็นการเปิดตลาด การลด/เลิกมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษี มาตรฐานสินค้า มาตรฐานสุขอนามัย การค้าบริการ ฯลฯ โดยตั้งเป้าหมายปิดการเจรจาให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ จากนั้นไทวจะเสนอให้คระรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ ก่อนลงนามร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับต่อไป

ทั้งนี้ ทีมเจรจายอมรับว่า มีประเด็นที่น่ากังวล คือ การเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯใช้สารเร่งเนื้อแดง แรคโตพามีน ในการเลี้ยง แต่ไทยมีกฎหมายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ห่ามใช้ในการเลี้ยงโดยเด็ดขาด และกฎหมายกระทรวงสาธารณสุข ที่ห้ามพบปนเปื้อในเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ที่วางขายในท้องตลาด แต่หากไทยจะเปิดนำเข้าจริง คงจะจำกัดปริมาณ และเจรจาเรื่องสุขอนามัยให้เสร็จก่อน ไม่เช่นนั้น ไทยจะต้องแก้กฎหมายของทั้ง 2 กระทรวงเพื่อเปิดทางให้นำเข้าได้

สำหรับกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ที่จะกำหนดว่า สินค้าจากไทย จะใช้สัดสวนวัตถุดิบและส่วนประกอบจากประเทศใดบ้าง จึงจะได้รับสิทธิเสียภาษี 19% นั้น คาดว่า สหรัฐฯจะไม่เจรจา 2 ฝายกับคู่ค้าทุกประเทศ แต่จะจัดกำหนดเป็นมาตรฐานเดียวกันให้ทุกประเทศดำเนินการตาม