ทอท. เปิดกลยุทธ์หลุด 'กับดักธุรกิจ' ย้ำศักยภาพหน่วยการบินมาตรฐานสากล

ทอท.เดินหน้าทรานส์ฟอร์มองค์กร มุ่งเป้าหมายสร้างรายได้ Aero มากกว่า 60% ตอกย้ำจุดแข็งผู้ให้บริการสนามบิน ต้องดึงดูดคน เครื่อง และของ มั่นใจปั้น “สุวรรณภูมิ” สู่ศูนย์กลางการบิน เตรียมชงรัฐบาล “อนุทิน” ลงทุนขยายขีดความสามารถรับ 120 ล้านคน
KEY
POINTS
- ทอท. ปรับกลยุทธ์โดยลดการพึ่งพารายได้ที่ไม่ใช่ธุรกิจการบิน (Non-Aero) เพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างรายได้ที่ไม่สมดุลและหลุดพ้นจาก "กับดักธุรกิจ"
- กลับมามุ่งเน้นการสร้างรายได้จากธุรกิจการบิน (Aero) เป็นหลัก โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ใหม่ที่ Aero 64% และ Non-Aero 36% เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
- วางแผนลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง เพื่อผลักดันสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ที่รองรับทั้งผู้โดยสาร (คน) การซ่อมบำรุง (เครื่อง) และสินค้า (ของ)
ในงาน “Thailand Economic Outlook 2026 : Out of the Trap” จัดโดย “กรุงเทพธุรกิจ” บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะหน่วยงานที่กำลังTransform องค์กร ไปสู่เป้าหมายการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ดึงดูดนักลงทุน และสามารถให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นได้ โดยวางเป้าหมายเป็นท่าอากาศยานที่รองรับทั้งคน เครื่อง และของ นั้นมีมุมมองการจัดการองค์กรที่น่าสนใจมาร่วมแบ่งปัน
นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า การนำองค์กรไปสู่เป้าหมายการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ดึงดูดนักลงทุน และสามารถให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นได้ โดยวางเป้าหมายเป็น
ท่าอากาศยานที่รองรับทั้งคน เครื่อง และของ นั้น ทอท. กำลังเปลี่ยนทิศทางจากก่อนหน้านี้ พึ่งพารายได้ที่ไม่ใช่ธุรกิจการบิน (Non-Aero) จากปี 2564 เคยมีสัดส่วนสูงถึง 63% ของรายได้ทั้งหมด โดยจะกลับไปสู่การให้ความสำคัญกับรายได้จากธุรกิจการบิน (Aero) เป็นหลัก ซึ่งมีเป้าหมายสร้างรายได้ Aero ให้ได้ในสัดส่วน 64% และ Non-Aero 36% เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและสะท้อนบทบาทที่แท้จริงของ ทอท.ในฐานะ “ผู้ให้บริการสนามบิน” ไม่ใช่ “ห้างสรรพสินค้า”
ทั้งนี้ การพึ่งพารายได้จาก Non-Aero ทั้งร้านค้าปลอดอากรและพื้นที่เชิงพาณิชย์ จนมีสัดส่วนเกือบเท่ารายได้หลักจากการบิน ได้สร้างความเสี่ยงเชิงโครงสร้างขึ้น เมื่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้โดยสารเปลี่ยนไปหลังยุคโควิด-19 ประกอบกับต้นทุนด้านการดำเนินงานและความปลอดภัยของท่าอากาศยานที่สูงขึ้นไม่หยุด ทำให้โครงสร้างรายได้ปัจจุบันไม่สมดุล และ “ผิดเพี้ยน” ไปจากโมเดลธุรกิจท่าอากาศยานทั่วโลก ที่รายได้หลักต้องมาจากธุรกิจการบิน
ขณะที่แนวคิดนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับทิศทางองค์กร เพื่อนำพาท่าอากาศยานไทยกลับสู่สมดุลที่ควรจะเป็น โดย ทอท.มีแนวทางสร้างรายได้ Aero มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่
1. คน (ผู้โดยสาร) ผ่านการเป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสาร
2. เครื่อง (อากาศยาน) ผ่านการเป็นศูนย์กลางการซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)
3.ของ (สินค้าคาร์โก้) ผ่านการเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศ
อีกทั้งจะผลักดันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) เป็นจุดเปลี่ยนผ่านผู้โดยสาร เครื่องบิน และสินค้า
ด้านแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโต ทอท.ได้วางแผนพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองครั้งสำคัญ โดยสุวรรณภูมิจะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร South Terminal โดยยกเลิกแผนก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร SAT-2 และหันมาขยายอาคาร South Terminal ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อความสะดวกสบายของผู้โดยสาร
นอกจากนี้จะก่อสร้างส่วนต่อขยาย East Expansion ซึ่งสถานะปัจจุบันอยู่ระหว่างรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติ คาดว่าหาก ครม.อนุมัติภายในปีนี้ ก็จะสามารถดำเนินการในขั้นตอนเปิดประกวดราคาได้ทันที เป็นอีกหนึ่งโครงการเร่งด่วนที่ ทอท.จะดำเนินการภายในรัฐบาล 4 เดือนนี้ โดยตามแผนพัฒนาทั้งหมดจะทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสาร 120 ล้านคนต่อปี
ขณะที่ท่าอากาศยานดอนเมืองถูกวางตำแหน่งไว้อย่างชัดเจนให้เป็นท่าอากาศยานแบบ Point-to-Point เน้นการเป็นจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่ศูนย์กลางการเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารเช่นเดียวกับสุวรรณภูมิ โดย ทอท.มีแผนพัฒนามุ่งเน้นการแก้ปัญหาความแออัด ก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร 3 (Terminal 3) เพื่อรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศโดยเฉพาะ และปรับปรุงอาคาร 1 และ 2 ให้เป็นอาคารสำหรับเที่ยวบินในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกในการเดินทางภายในประเทศ
นางสาวปวีณา กล่าวด้วยว่า แผนการลงทุนจำนวนมากนี้ ทอท.จะดำเนินการมุ่งเน้น “Smart Investment” ซึ่งจะไม่ใช่การเลือกสิ่งที่ “ถูกที่สุด” แต่เป็นการลงทุนที่ “คุ้มค่า” เพื่อมุ่งเน้นการได้มาซึ่งอาคารที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการบำรุงรักษาเชิงรุกเพื่อยกระดับบริการ และ ทอท.จะไม่รอให้สิ่งอำนวยความสะดวกเสื่อมสภาพ แต่จะพัฒนาทันทีเพื่อรองรับการบริการที่ดี เช่น การเร่งปรับปรุงห้องน้ำที่เป็นบริการสำคัญแก่ผู้โดยสาร
นอกจากนี้ ทอท.ยังเป็นหนึ่งในบริษัทในตลาดทุน ดังนั้นจำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์โครงสร้างรายได้และแผนการลงทุนที่ชัดเจน เพื่อส่งสัญญาณไปยังตลาดทุน และดึงดูดนักลงทุนในต่างประเทศ โดยในอดีตอัตราส่วน P/E ของหุ้น AOT ที่เคยพุ่งสูงถึง 44 เท่า ทำให้หุ้นมีราคาแพงและน่าสนใจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการสนามบินอื่นในตลาดโลก แต่ปัจจุบัน P/E ได้ปรับตัวลงมาสู่ระดับที่สมเหตุสมผลยิ่งขึ้นที่ประมาณ 20-25 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มท่าอากาศยาน เช่น ท่าอากาศยานเซี่ยงไฮ้และญี่ปุ่น
โดยการปรับ P/E ให้อยู่ในระดับที่น่าดึงดูด ประกอบกับทิศทางดำเนินงานหารายได้ที่ชัดเจนของ ทอท. ซึ่งจะกลับไปสู่การสร้างรายได้จากจุดแข็งหลัก สร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนอย่างเห็นได้ชัด โดยมีข้อมูลยืนยันว่านักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้น AOT เป็นอันดับ 1 ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา สะท้อนว่าตลาดโลกกำลังขานรับต่อการกลับสู่พื้นฐานที่แข็งแกร่งของ ทอท.
นางสาวปวีณา กล่าวด้วยว่า ภาพรวมผู้โดยสารที่ผ่าน 6 ท่าอากาศยานของ ทอท. แม้ว่าภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ผลการดำเนินงานของ ทอท. ในปีงบประมาณ 2568 สิ้นสุดเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท.จำนวน 125 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5.6% จากปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 119 ล้านคน
ทั้งนี้แบ่งการเติบโตรายท่าอากาศยาน พบว่า 2 ท่าอากาศยานหลักของไทย คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผู้โดยสารเติบโต 4.6% โดยมีสัดส่วนผู้โดยสารระหว่างประเทศสูงถึง 70% ของผู้โดยสารทั้งหมด เช่นเดียวกับท่าอากาศยานดอนเมือง ผู้โดยสารเติบโต 7.5% ส่วนจำนวนเที่ยวบินรวมของปีงบประมาณ 2568 รวมจำนวน 788,000 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ทอท.คาดการณ์ว่าจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 6-7% ในปีหน้า







