Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 8 December 2025

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 8 December 2025

ราคาน้ำมันดิบผันผวน ท่ามกลางความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ-เวเนซุเอล่า และรัสเซีย-ยูเครน และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 58-68 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 8 December 2025

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (5 – 11 ธ.ค. 68)

ราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวน จากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอล่าที่เริ่มลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีคำสั่งเตรียมความพร้อมในการเปิดปฏิบัติการภาคพื้นดินในเวเนซุเอล่า  โดยอ้างถึงความต้องการปราบปรามยาเสพติด นอกจากนี้ สถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซีย-ยูเครนยังคงไม่แน่นอนจากรัสเซียอ้างว่าสามารถเข้ายึดพื้นที่ยุทธศาสตร์ของยูเครน

ขณะที่ยูเครนออกมาปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าว ท่ามกลางการเจรจาสันติภาพของทั้งสองประเทศ นำโดยสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีข้อยุติ ทั้งนี้ ตลาดยังจับตามองถึงท่าทีของยุโรป เนื่องจากนายวลาดีเมียร์ ปูติน มีคำแถลงการณ์พาดพึงถึงยุโรปว่าเป็นผู้ขัดขวางความพยายามของผู้นำสหรัฐฯ ในการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน พร้อมกล่าวเพิ่มเติมอีกว่ารัสเซียพร้อมรบหากยุโรปเป็นฝ่ายเปิดฉากการโจมตีก่อน

อีกทั้ง  ผู้นำรัสเซียยังคงมีแผนเดินทางเยือนอินเดียเพื่อเจรจาการค้ากับอินเดียเพิ่มเติม หลังจากอินเดียลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย นอกจากนี้ ตลาดคาดการณ์แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ท่ามกลางความท้าทายของข้อมูลที่จำกัดจากการปิดทำการชั่วคราวของรัฐบาลสหรัฐฯ

 

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

•  สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอล่าเริ่มทวีความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ  ปิดน่านฟ้าของเวเนซุเอล่า พร้อมกับสั่งให้เตรียมความพร้อมในการเปิดปฏิบัติการภาคพื้นดิน โดยอ้างถึงความต้องการปราบปรามยาเสพติด แม้ก่อนหน้านี้ผู้นำสหรัฐฯ เคยกล่าวไว้ว่าจะไม่เปิดปฏิบัติการภาคพื้นดินในเวเนซุเอล่า

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ได้โจมตีเรือเวเนซุเอล่าที่มุ่งหน้าสู่สหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่าเรือดังกล่าวมีการลักลอบขนยาเสพติด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 80 รายนับตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นมา อย่างไรก็ดี ไม่มีการแสดงหลักฐานบ่งชี้การลักลอบขนยาเสพติดของเรือดังกล่าว

ขณะเดียวกัน นายนิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอล่า ได้ออกมาประณามการกระทำของผู้นำสหรัฐฯ ว่าเป็นภัยคุกคามจากการล่าอาณานิคม และสร้างความหวาดกลัวต่อประชาชนในประเทศ ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวสร้างความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบของเวเนซุเอล่าที่อาจหยุดชะงัก

•  สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงลุกโชน เนื่องจากรัสเซียประกาศเข้ายึดพื้นที่ โปครอฟสก์ (Pokrovsk) และ โวฟชานสก์ (Vovchansk) ซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์ของยูเครนที่เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์  และเป็นเป้าหมายสำคัญของรัสเซียเพื่อที่จะรุกคืบเข้าพื้นที่ยูเครน อย่างไรก็ดี ยูเครนได้ออกมาปฏิเสธการยึดพื้นที่ดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ความคืบหน้าการเจรจาสันติภาพระหว่างสองประเทศยังคงดำเนินต่อไป โดยล่าสุด การพบกันระหว่างตัวแทนสหรัฐฯ กับผู้นำรัสเซียเพื่อการเจรจาหารือเรื่องแผนสันติภาพที่กรุงมอสโค ยังไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ ทั้งนี้ ผู้ช่วยด้านนโยบายของรัสเซียได้ออกมาเปิดเผยบางส่วนว่า การเจรจาเป็นไปในทางที่ดี ซึ่งอาจต้องมีการหารือเพิ่มเติม

 

อย่างไรก็ดี ตลาดคาดการณ์ว่าการเจรจาสันติภาพระหว่างสองประเทศอาจยังไม่บรรลุในเร็ววันนี้ ซึ่งอาจทำให้อุปทานน้ำมันยังคงจำกัดจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และยุโรป 

•  ตลาดจับตาท่าทีของยุโรปเนื่องจากประธานาธิบดีรัสเซียมีคำกล่าวหลังการประชุมเจรจาสันติภาพกับตัวแทนสหรัฐฯ เกี่ยวกับสหภาพยุโรปว่า สหภาพยุโรปเป็นผู้ขัดขวางความพยายามของผู้นำสหรัฐฯ ในการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยการยื่นข้อเสนอที่รัสเซียไม่สามารถยอมรับได้ เพื่อกล่าวโทษว่าเป็นเพราะรัสเซียไม่ต้องการสันติภาพ

ทั้งนี้  ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า รัสเซียไม่ต้องการทำสงครามกับยุโรป แต่หากยุโรปเปิดฉากโจมตีก่อน รัสเซียก็พร้อมที่จะทำสงครามและมั่นใจว่ายุโรปจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อสงคราม ซึ่งแถลงการณ์ดังกล่าวของผู้นำรัสเซียส่งผลให้ตลาดกังวลต่ออุปทานที่อาจจะตึงตัว หากมีการเปิดฉากโจมตีระหว่างรัสเซียและยุโรป

•  ตลาดจับตาการเยือนอินเดียของนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งมีกำหนดการเยือนอินเดีย ระหว่างวันที่ 4-5 ธ.ค. 68 เพื่อเข้าร่วมประชุมกับนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย โดยมีเป้าหมายเพื่อเจรจาผลักดันให้อินเดียนำเข้าน้ำมันดิบ ระบบระบบขีปนาวุธ และเครื่องบินรบจากรัสเซียมากขึ้น หลังอินเดียลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียจากการกดดันของสหรัฐฯ ที่เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียเป็น 50%

ทั้งนี้ หากอินเดียหันกลับมารับน้ำมันดิบจากรัสเซียจะทำให้ปริมาณน้ำมันดิบออกจากรัสเซียมากขึ้น ซึ่งจะกดดันราคาน้ำมันดิบ และอาจทำให้อินเดียต้องแบกรับความเสี่ยงต่อการเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ 

•  ตลาดจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-10 ธ.ค. 68 ถึงแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงมาแล้ว 2 ครั้งในปี 68 ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วง 3.75 -4.00% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 65

ทั้งนี้ ในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือน ธ.ค. มีความท้าทายเป็นอย่างมากเนื่องจากข้อจำกัดของข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จากการปิดทำการชั่วคราวของรัฐบาลสหรัฐฯ (Government Shutdown) ในช่วงเดือน ต.ค. ถึง พ.ย. 68 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี จากรายงานของข้อมูล FedWatch Tool ของ CME Group รายงานว่านักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 80% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมในเดือน ธ.ค. 

•  ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ต.ค. 68 ดุลงบประมาณธนาคารกลางสหรัฐฯ และ จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน เดือน พ.ย. 68 ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI)

 

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (28 พ.ย. – 4 ต.ค. 68)

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 0.06 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 59.03 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 0.03 ดอลลาร์สหรัฐฯ  มาอยู่ที่ 62.95 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังการขนส่งน้ำมันดิบรัสเซียผ่านทางท่อ Caspian Pipeline Consortium (CPC) ที่สามารถส่งออกน้ำมันราว 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต้องหยุดชะงักชั่วคราวอีกครั้ง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการโจมตีด้วยโดรนของยูเครน

ทั้งนี้ การโจมตีของยูเครนต่อรัสเซียในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ นอกจากนี้ จีนได้ประกาศโควต้าการนำเข้าน้ำมันดิบรอบแรกสำหรับปี 69  ซึ่งสามารถใช้กับการซื้อขายและขนส่งน้ำมันดิบที่จะมาถึงภายในสิ้นปีนี้ โดยโควต้าชุดแรกอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านตันและถูกจัดสรรให้กับโรงกลั่น 21 แห่ง ขณะเดียวกัน ตลาดคาดการณ์โควต้าการนำเข้าน้ำมันดิบในปี 69 จะอยู่ที่ 257 ล้านตัน ซึ่งเท่ากับโควต้าเดิมในปี 68

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงกังวลต่ออุปทานที่อาจล้นตลาด หลังสถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API) เผยปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ณ สิ้นสุดสัปดาห์วันที่ 28 พ.ย. 68 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.48 ล้านบาร์เรล สะท้อนแรงกดดันจากอุปทานส่วนเกินในตลาดโลก