ดับเบิลยูทีโอประกาศไทยเปิดไต่สวน มาตรการเซฟการ์ด‘เม็ดพลาสติกพีพี’

รายงานข่าวจากองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ออกประกาศว่า ประเทศไทยเริ่มการสอบสวนมาตรการป้องกันการนำเข้าโพลีโพรพีลีนเมื่อวันที่ 8  ก.ย. 2568 โดยไทยได้แจ้งต่อคณะกรรมการว่าด้วยมาตรการป้องกันการนำเข้าของดับเบิลยูทีโอ ว่าได้เริ่มการสอบสวนโพลีโพรพีลีนแล้วเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2568

ทั้งนี้ “ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทุกรายที่ต้องการนำเสนอหลักฐาน เอกสาร ความเห็น หรือข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการสอบสวนส่งข้อมูลดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ไม่เกินวันที่ 24 ก.ย. 2568 ก่อนเวลา 16:30 น. ตามเวลา ICT (GMT+7) ยกเว้นผู้ส่งออกและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ ที่อยู่นอกประเทศไทย กำหนดส่งหลักฐาน เอกสาร และความเห็น คือวันที่ 1 ต.ค. 2568

ประกาศราชกิจจาฯเปิดไต่สวน 3 ก.ย.68

ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศได้ประกาศเปิดการไต่สวนการนำเข้าสินค้าโพลิโพรพิลีนที่เพิ่มขึ้นและความเสียหาย พ.ศ. 2568 โดยเริ่มกระบวนการไต่สวนตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 3 ก.ย. พ.ศ. 2568 

โดยคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้องตามพ.ร.บ.มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น พ.ย. 2550 ได้มีคำวินิจฉัยในการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อ 8 ส.ค. 2568 ว่าคำขอให้พิจารณาดำนินการกำหนดมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าโพลิโพรพิลีนที่เพิ่มขึ้น ตามมาตรา 31 มีความเสียหายที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในจึงเห็นควารให้ทำการเปิด“ไต่สวน”

สำหรับเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน (Polypropylene หรือ PP) เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายซึ่งผลิตจากกระบวนการพอลิเมอไรเซชันของก๊าซโพรพิลีนโดยมี ตัวเร่งปฏิกิริยาและมีสภาวะการผลิตที่แตกต่างกันไปใน แต่ละเกรดโดยเม็ดพลาสติก

โพลิโพรพิลีนเป็นวัสดุที่ถูกนำมาผลิตเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น บรรจุภัณฑ์ อาหาร วัสดุก่อสร้าง ชิ้นส่วนยายนต์ และไฟฟ้า สิ่งทอที่ทนทาน การใช้งานทงการแพทย์  ระบบท่อ เป็นต้น โดยมีผู้ใช้สินค้ำขั้นสุดท้าย ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ (Food and Non-Food) สิ่งทอที่ทนทาน (เช่น ถุงกระสอบ ผ้าใบ แห อวน เชือก) รวมถึงการใช้งานทางการแพทย์ วัสดุก่อสร้าง ระบบท่อ ชิ้นส่วนยานยนต์และไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ และของใช้ภายในบ้าน

ผงะพบนำเข้าพุ่งถึง71% ช่วง 3 ปี 

จากข้อมูลเบื้องต้น พบการนำเข้ามายังประเทศไทย เพิ่มขึ้น อย่างชัดเจนและต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ถึง  ก.ย. 2567 โดยปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นจาก  228,365 ตัน ในปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 390,583 ตัน ในปี 2566 หรือเพิ่มขึ้น 71.03%  และหากเทียบการนำเข้าช่วง ม.ค. -ก.ย. 2566 กับช่วยเดียวกันปี 2567 พบว่าปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นจาก 297,871 ตันเป็น 351,764 ตัน  หรือเพิ่มขึ้น 18.09% 

“ปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน โดยพบการลดลงของส่วนแบ่งตลาด ระดับการขาย ระดับการผลิต ระดับกำลังการผลิตที่ใช้จริง และภาวะขาดทุน ซึ่งเป็นผลจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น”

โดยข้อมูลของผู้ยื่นคำขอและสัดส่วนปริมาณการผลิตภายในประเทศในขณะยื่นคำขอ บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด บริษัท  ไทยโพลิเอททีลีน จำกัด และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันที่มีผลผลิตภายในประเทศมากกว่า 25% ของปริมาณการผลิตสินค้าเดียวกันทั้งหมดในประเทศ ได้ยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณากำหนดมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าโพลีโพพิลีนที่เพิ่มขึ้น 

กรอบความเสียหายอุตฯในประเทศ 

ส่วนเกณฑ์พิจารณาความเสียหาย ได้แก่ อัตราและปริมาณการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงของระดับการขาย ระดับผลผลิต ระดับผลิตภาพ ระดับกำลังการผลิตที่ใช้จริง ระดับกำไรหรือขาดทุน และระดับการจ้างงาน 

“กรมการค้าต่างประเทศ ดำเนินการไต่สวนการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นและความเสียหายตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจานุเบกษา 3 ก.ย. 2568 โดยจัดส่งแบบสอบถามไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อตอบข้อมูลประกอบการไต่สวนแล้ว”

ดับเบิลยูทีโอ ระบุว่า การสอบสวนมาตรการปกป้องsafeguard มีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาว่าการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นกำลังก่อให้เกิด หรือกำลังคุกคามที่จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศหรือไม่

ในระหว่างการสอบสวนมาตรการปกป้อง ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ สามารถนำเสนอหลักฐานและมุมมอง และโต้ตอบต่อการนำเสนอของบุคคลอื่นๆ ได้ ซึ่งสมาชิก WTO สามารถดำเนินการมาตรการปกป้อง (เช่น จำกัดการนำเข้าสินค้าเป็นการชั่วคราว) ได้เฉพาะในกรณีที่พบว่าการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นนั้นก่อให้เกิด หรือกำลังคุกคามที่จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง