ส่องผลงานค้างท่อ 2 รมต. 'พลังงาน-อุตสาหกรรม' ก่อน 'อำนาจ' ผลัดใบ

ส่องนโยบายที่ยังคงคงค้างท่อไม่ผ่านการพิจารณาของ 2 "พีระพันธุ์-เอกนัฏ" รมต. "พลังงาน-อุตสาหกรรม" ก่อนโหวตนายกฯ คนที่ 32
นโยบายปฏิรูปพลังงานและอุตสาหกรรมที่ประกาศไว้ยังคงเป็น งานค้างท่อ ที่รอการสานต่อ ภายใต้การนำของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เช่นเดียวกับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งมั่นในการปฏิรูปกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน วันที่ 1 กันยายน 2566 ได้ประกาศนโยบายพลังงานตามแนวทาง "รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง" โดยวางเป้าหมายไว้เป็นบันได 5 ขั้น โดยจะแก้กฎหมายเกี่ยวกับนโยบายพลังงานกว่า 180 ฉบับ ซึ่งยังไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ อาทิ
1. โครงการโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็ก โดยนายพีระพันธุ์ มีแนวคิดที่จะส่งเสริมการจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็ก (mini-refinery) ในประเทศ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานและลดการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากโรงกลั่นหลัก
อีกทั้ง จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง เพราะถือเป็นการค้าเสรีอย่างแท้จริง ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีในการหาพลังงานของตัวเอง ถ้าหากผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันมาใช้เองได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาจำหน่ายหน้าปั๊ม ก็สามารถดำเนินการได้เลย จะทำให้ต้นทุนน้ำมันของเกษตรกร ชาวประมง ผู้ประกอบการขนส่งลดลงได้ทันที เมื่อผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันได้ในราคาถูก ต้นทุนก็จะลดลง และเมื่อลดภาระเรื่องราคาน้ำมันแล้ว ก็ต้องลดราคาสินค้าให้ประชาชนด้วย หรือที่เคยระบุไว้ว่า "น้ำมันเขียว"
2. การแก้ไขสัญญาสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งมีการพูดถึงการแก้ไขสัญญาระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ได้รับสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้รัฐได้รับประโยชน์มากขึ้น
3. นโยบายการจัดสรรก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคปิโตรเคมี ที่ได้มีการทบทวนนโยบายการจัดสรรก๊าซธรรมชาติให้กับภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อให้มั่นใจว่าการจัดสรรก๊าซฯ เป็นไปอย่างเป็นธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
4. แนวทางการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน แม้จะมีการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีนโยบายที่อยู่ระหว่างการศึกษา เช่น การกำหนดทิศทางการส่งเสริมพลังงานชีวมวล (biomass) และชีวภาพ (biogas) ที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ รวมถึงการจัดทำแผนแม่บทพลังงานหมุนเวียนฉบับใหม่
5. การทบทวนโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม ที่ได้มีการพูดถึงการปรับปรุงโครงสร้างราคาเชื้อเพลิงให้มีความเป็นธรรมและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง แต่ยังไม่มีการนำเสนอเป็นรูปธรรม
6. การจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve) เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถควบคุมราคาได้เอง โดยหลักการคือจะนำน้ำมันสำรองนี้มาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะเปลี่ยนกองทุนน้ำมันฯ ที่ใช้เงินและสร้างหนี้สาธารณะ ให้กลายมาเป็นทรัพย์สินของประเทศต่อไป
7. การสรรหาและแต่งตั้งผู้บริหารในสังกัดกระทรวงพลังงาน อาทิ การนำเสนอชื่อผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คนใหม่ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.), การสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ที่ปัจจุบันมีการสรรหาถึง 3 ครั้ง, การจัดทำแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) หรือ NEP ที่มีการเลื่อนการพิจารณาและล่าสุดได้มีการตั้งคณะทำงานชุดใหม่มาดำเนินการร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และการตั้งคณะกรรมการสรรหากรรมการสำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ปัจจุบันมีกรรมการบริหารเพียงแค่ 4 ท่าน
ในขณะที่ นโยบายของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่อยู่ระหว่างเร่วดำเนินการ อาทิ 1. การส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) โดยเน้นการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ที่มีเป้าหมายในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น
2. ผลักดันร่างพระราชบัญญัติการจัดการกากอุตสาหกรรมฉบับใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสียที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และยกระดับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเป็นกฎหมายฉบับแรกที่มุ่งจัดการกากอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เพื่ออุดช่องโหว่ของกฎหมายเดิม คือ 1) การเพิ่มบทลงโทษ มีการพิจารณาเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นสำหรับผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นโรงงานเถื่อนหรือกลุ่มทุนสีเทาที่ลักลอบทิ้งกากพิษ 2) มาตรการป้องกัน เน้นมาตรการเชิงป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นซ้ำรอยเดิม โดยอาจรวมถึงการจัดตั้งกองทุนเพื่อการจัดการกากอุตสาหกรรมด้วย
3. ร่าง พ.ร.บ. โรงงาน ที่มีการพิจารณาแก้ไข เพื่ออำนวยความสะดวก ในการประกอบกิจการมากขึ้น เช่น การยกเลิกหรือลดขั้นตอนการขออนุญาตที่ไม่จำเป็น เพื่อลดภาระและเพิ่มความคล่องตัวให้กับผู้ประกอบการ
4. ร่าง พ.ร.บ. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและทุ่มตลาดในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs นอกจากนี้ ยังมีแนงคิดในการจัดตั้งกองทุนเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
5. กรณีข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทย กับ บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ผู้ถือหุ้นของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) นั้น คณะอนุญาโตตุลาการได้เลื่อนการออกคำชี้ขาดหรือคำตัดสินออกไปหลายรอบแล้ว จนล่าสุดจะครบกำหนดการออกคำชี้ขาดหรือคำตัดสินวันที่ 30 ก.ย. 2568 ตามที่ทั้ง 2 ฝ่ายร้องขอ ซึ่งเป็นกรอบระยะเวลาที่เชื่อว่าจะสามารถเจรจาให้ข้อพิพาทยุติลงได้







