เรียนรู้(การเมือง)วุ่นวาย บทเรียนที่ควรจดจำ

    ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของกลไกการเมืองการบริหารประเทศของนักการเมืองแบบเดิมๆ ที่มุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของชาติ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ผลกระทบทั้งหมดก็ย้อนกลับมาตกอยู่บนบ่าของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
    สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลพวงจากการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกนักการมืองเข้าไปเป็นผู้แทน จากการหาเสียงที่หลายคนใช้คำพูดที่สวยหรูและนโยบายประชานิยมเพื่อดึงดูดคะแนนเสียง แต่เมื่อได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาบริหารประเทศแล้ว กลับมุ่งเน้นแต่การแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ของพรรคการเมืองและส่วนตัว ทำให้ประเทศเสียโอกาสในการพัฒนาและเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจซ้ำซ้อน

    ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนที่สำคัญที่ประชาชนต้องจดจำและนำมาปรับใช้ หากจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง ประชาชนต้องใช้สิทธิของตนเองอย่างมีวิจารณญาณ ไม่ใช่เลือกเพราะความนิยมหรือความรู้สึกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาจากคุณสมบัติ ความสามารถ และวิสัยทัศน์ของนักการเมืองอย่างรอบด้าน เพื่อให้ได้ผู้แทนที่มีศักยภาพและพร้อมที่จะทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง
    หนทางที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนามที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้นั้น ต้องอาศัยการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของประชาชนในการเลือกผู้นำที่มีความรู้ความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริต และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีนโยบายที่สามารถนำพาเศรษฐกิจของประเทศไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่เป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจในระยะยาว

    ดังนั้นหากจะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเป็นโอกาสสำคัญของประชาชนในการแสดงพลังและกำหนดทิศทางของประเทศบทเรียนจากความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา ควรสร้างความตื่นตัวทางการเมือง ให้กับประชาชน เพื่อให้การเลือกตั้งในครั้งต่อไปเป็นการตัดสินใจที่รอบคอบและมีวิจารณญาณมากขึ้น เพราะการเลือกผู้แทนที่เหมาะสมคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการสร้างอนาคตที่ดีให้กับประเทศ หากประชาชนตื่นตัวและใช้สิทธิของตนเองอย่างชาญฉลาด ประเทศไทยก็จะมีโอกาสที่จะก้าวพ้นจากวิกฤติทางการเมืองและเศรษฐกิจ และเริ่มต้นยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวังและความเจริญรุ่งเรืองได้เฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นได้