‘ภาษีสหรัฐ’ ไทยยอม 0% แค่ไหนไม่เสียเปรียบ!

‘ภาษีสหรัฐ’ ไทยยอม 0% แค่ไหนไม่เสียเปรียบ!

สถานการณ์การค้าโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมาตรการ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐ

ที่กำลังสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อประเทศคู่ค้า ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและเวียดนาม ต่างยอม ลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ ลงเหลือ 0% แล้ว

สถานการณ์นี้ได้สร้างความกังวลอย่างมากต่อภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งหวั่นเกรงว่าประเทศไทยอาจถูกกดดันให้ต้องดำเนินการในลักษณะเดียวกัน แม้ไทยจะมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐ สูงถึง 45,000 ล้านดอลลาร์ ในปีที่ผ่านมา

ซึ่งมากกว่าอินโดนีเซียถึง 2.5 เท่า และมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐ ที่ 18% เมื่อเทียบกับเวียดนามที่มากกว่า 30% ก็ตาม
    
ท่ามกลางแรงกดดันดังกล่าว ส.อ.ท. ได้ออกมาประกาศ จุดยืนที่ชัดเจนแทนภาคเอกชนไทย โดยระบุว่า ไทยสามารถยอมรับการลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ให้กับสหรัฐได้ เพียงบางรายการสินค้าเท่านั้น เช่น ผลิตภัณฑ์ยา ซึ่งสหรัฐ มีความสามารถในการผลิตยาคุณภาพสูงอยู่แล้ว แต่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งหากจะลดภาษีเป็น 0% สำหรับกลุ่มเคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนสูงและยังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ สถานการณ์นี้ถือเป็น โจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับทีมเจรจาของไทย ที่จะต้องใช้ความรู้ ความสามารถ และทักษะอันดีเยี่ยมในการรับมือ เพื่อรักษาสมดุลและผลประโยชน์ของประเทศ
    
นอกจากประเด็นภาษีนำเข้าแล้ว อีกหนึ่งมาตรการที่ไทยต้องเผชิญคือการ ตรวจสอบและควบคุมการใช้ “Local Content” หรือวัตถุดิบในประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิสินค้าสำหรับสินค้าที่จะส่งออกไปยังสหรัฐ มาตรการนี้ถูกมองว่าเป็นการ ควบคุมและสกัดกั้นปัญหา “สินค้าสวมสิทธิ” (Transshipment) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีประมาณ 10-15 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมีการใช้วัตถุดิบในประเทศน้อยกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ 
    
การป้องกันการฉวยโอกาสและเสริมความได้เปรียบของ สินค้า “Made in Thailand” จึงเป็นความท้าทายสำคัญที่จำเป็นต้องได้รับ ความร่วมมืออย่างเข้มงวดจากทุกทบวง/กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในการออกใบอนุญาตและการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (C/O)
    
ความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญนี้ จึงไม่ใช่แค่เพียงการเจรจาเรื่องภาษีนำเข้าเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการสร้างความแข็งแกร่งและโปร่งใสให้กับห่วงโซ่อุปทานการผลิตของไทย เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าไทยยังคงได้รับการยอมรับในตลาดโลก และช่วยให้ไทยสามารถ “รักษาความสมดุลทางการค้ากับทุกกลุ่มประเทศที่ไทยทำการค้าด้วย” โดยไม่เอียงไปประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัย ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการนำพาประเทศก้าวผ่านสถานการณ์การค้าโลกที่ผันผวนและซับซ้อนนี้ไปให้ได้