WHA ชี้ภาษีทรัมป์ ไม่กระทบยอดลงทุน ชูไทยเด่นโครงสร้างพื้นฐาน-ซัพพลายเชน

WHA เผยความชัดเจนยังเป็นความไม่ชัดเจน ระบุพิษภาษีสหรัฐ ยังไม่กระทบยอดการลงทุนในนิคมฯ ชูจุดแข็งไทยมีโครงสร้างพื้นฐาน-ซัพพลายเชนแข็งแกร่ง
วันนี้ (14 ก.ค.2568) "กรุงเทพธุรกิจ" จัดเสวนาโต๊ะกรม "Roundtable: The Art of (Re)Deal” โดยนายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่การเงินกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อย่างที่บอกไปว่า ความแน่นอนยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เช่นเดียวกับความชัดเจนยังคงมีความไม่ชัดเจนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐ กับเวียดนามที่ออกมาโดยผู้นำของทั้ง 2 ประเทศชี้แจงไม่ตรงกัน
นอกจากนี้ ยังมีหลายประเด็น เช่น Transshipment จะได้รับการปฏิบัติเหมือนกันหรือไม่ ดังนั้น ตนคิดว่าวันนี้คงต้องรอดูกันว่าจะตกลงกันอย่างไร แต่ท้ายที่สุดแล้ว ธุรกิจของ WHA เองไม่กังวล โดยยอดขายที่ดินปีนี้ ก็ไม่น่าเป็นห่วง การพิจารณาปัจจัยลงทุนหลายอย่าง ทั้งภาษีศุลกากร โครงสร้างพื้นฐาน หรือแม้แต่ซัพพลายเชน เป็นต้น
ทั้งนี้ จะเห็นได้จากการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ทุกประเทศต้องการ สิ่งที่ประเทศไทยได้เปรียบคือ ซัพพลายเชน และแรงงานที่คุ้นเคย ซึ่งอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีฐานที่มั่นคง ทั้งแรงงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ซึ่งในช่วงแรกช่วงเดือนเม.ย.2568 ที่ทราบข่าวว่าไทยจะโดนเก็บภาษีนำเข้าศุลกากรสหรัฐที่ 36% WHA ได้สำรวจบริษัทที่อยู่ในนิคมฯ ทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อสหรัฐส่งหนังสือยืนยันมาถึงไทยอีกครั้งว่าจะเก็บภาษีที่ 36% เริ่ม 1 ส.ค.68 นี้ ทาง WHA ก็ได้มีการสำรวจลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก โดยตอนนี้ยังอยู่ระหว่างสำรวจอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ในภาพรวมเราต้องดูเป็นรายเซกเตอร์ โดยบางเซกเตอร์ต้องดูเป็นรายบริษัท เช่น ลูกค้าในกลุ่มยานยนต์ที่ประกอบ End Product ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐ เพราะเน้นพวงมาลัยขวา แต่บางกลุ่ม เช่น มอเตอร์ไซค์ ก็ส่งออกไปสหรัฐ เป็นจำนวนมาก ดังนั้น อาจจะต้องรอกันต่อไป จึงมีคำแนะนำว่า ถ้าวันนี้ธุรกิจยังไม่ได้ทำ Action Plan อาจจะช้าไปสักนิด แต่ก็ยังไม่สายเกินไป และแต่ละธุรกิจจะต้องมองว่า Scenario จะขาดหรือเหลืออะไรบ้าง
"ในฐานะที่ WHA มีธุรกิจทั้งในไทย และเวียดนาม จึงอยากให้เห็นภาพว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และ Product ของไทย และเวียดนามมีความแตกต่างกันสำหรับบางอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเยอะไม่สามารถมาไทยได้ หากเป็นโรงงานขนาด 50,000 คนขึ้นไปไทยมีข้อจำกัดเพราะอีกไม่ถึง 10 ปีก็เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงควรไปลงทุนที่เวียดนาม
แต่ถ้าอุตสาหกรรมไหนอยากได้ Supply Chain หรือโครงสร้างพื้นฐาน ก็มาลงทุนที่ไทย และอยากให้เห็นภาพที่ชัดว่า หากไม่รวมภาษีที่เกิดขึ้น จะพบว่าเวียดนามมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) มากกว่าไทยอยู่แล้ว ถือเป็นข้อได้เปรียบของเวียดนาม ซึ่งวันนี้ไทยยังไม่รู้ว่า Transshipment จะจบที่เท่าไรด้วยซ้ำ และที่ตอบไม่ได้คือ วันนี้ยังไม่รู้ว่าจีนจะจบเท่าไรเช่นกัน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อน FDI
ทั้งนี้เมื่อยกตัวอย่าง เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ก่อนสหรัฐ จะประกาศภาษี 36% ลูกค้ารายใหญ่ของ WHA ได้เดินทางไปดูที่ดินที่สหรัฐ แต่ในช่วง 1-2 ปีเมื่อดูต้นทุนแล้วไม่สามารถไปลงทุนได้ จึงจะมาขยายสเกลต่อที่ไทย เป็นต้น ดังนั้น วันนี้สถานการณ์มีหลายแนวทางมาก จึงต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ชัดเจนว่าไทยกับเวียดนามไปด้วยกันได้ โดยเวียดนามใช้แรงงานเยอะ ซึ่งไทยใช้ Automation เยอะ ส่วนชิป และ AI ที่หลายคนห่วงเรื่องผลกระทบต่ออุตสาหกรรมดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งสุดท้ายแล้วดาต้าเซนเตอร์คือ End-User ภาพของเทคโนโลยีชัดเจนขึ้น ลูกค้าที่เป็นดาต้าเซนเตอร์จากจีนยืนยันว่าไม่ได้ใช้ชิปขั้นสูงนี้อยู่แล้ว ส่วนฝั่งตะวันตกก็เป็นลูกค้าสหรัฐ ที่เป็นดาต้าเซนเตอร์อยู่แล้วเช่นกัน
ในขณะที่ชิปในรุ่นใหม่ๆ ก็ไม่ได้ถูกใช้ในกลุ่มที่มีข้อจำกัด เพราะเป็นการใช้งานเฉพาะจริง รุ่นใหม่สุดอาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ส่วน Non-complex AI หรือ AI ที่ไม่ซับซ้อน ก็ยังคงไปต่อได้
"อยากบอกว่าวันนี้ Infrastructure สำคัญมาก อยู่ที่ว่าจะต่อยอดอย่างไร เพราะในการปรับอุตสาหกรรมอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญกว่า ส่วนความช่วยเหลือด้านการเงินคงแบ่งเป็นรายส่วน อาทิ การปรับปรุงประสิทธิภาพ รวมถึงการตลาด ดังนั้น จึงไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นสิ่งที่ต้องทำโดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพ"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







