WHA ชี้เวียดนามปิดดีลภาษีดี หนุนลงทุน หวั่น 5 ปีไทยโดนแซง หากไม่เร่งพัฒนา

WHA ชี้ดีลภาษีเวียดนามหนุนลงทุนในเวียดนาม มองหากไทยโดนเก็บน้อยกว่าเวียดนามเป็นผลดี มองเวียดนามพัฒนาประเทศเข้มข้นขึ้น หากไทยไม่ทำอะไรอีก 5 ปี หวั่นโดนเวียดนามแซงหน้า
KEY
POINTS
- การปิดดีลภาษีระหว่างสหรัฐ กับเวียดนาม จะทำให้ภาษีนำเข้าจากเวียดนามลดลงจาก 46% เหลือ 20% ซึ่งเป็นผลดีต่อนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม
- การเจรจาภาษีของไทยกับสหรัฐ ยังไม่ชัดเจน แต่คาดว่าจะลดลงจาก 36% เหลือ 18% และหวังว่าจะต่อรองเหลือ 10% หากไทยได้ภาษีต่ำกว่าหรือใกล้เคียงเวียดนาม จะเป็นผลดีต่อการลงทุน
- ลูกค้า 70% ของ WHA ที่ส่งออกไปสหรัฐ มองว่าหากภาษีไทยอยู่ที่ 10% เป็นเรื่องที่รับได้ และ 30% มองว่าหากไม่เกิน 20% ก็ยังพอรับได้
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ดำเนินธุรกิจ 5 กลุ่มอุตสาหกรรม 1. ธุรกิจโลจิสติกส์ 2. ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 3. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 4. ธุรกิจดิจิทัล และ 5. ธุรกิจโมบิลิตี้ (ภายใต้แบรนด์ Mobilix) ซึ่งทั้ง 5 ธุรกิจ มีทั้งรายได้ที่เกิดประจำ และรายได้ที่มาจากการขาย
โดยผลการดำเนินงานงวด ไตรมาส 1 ปี 2568 ว่า บริษัทมีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 5,193 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,075 ล้านบาท โดยเป็นรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรปกติ 5,181 ล้านบาท และกำไรปกติ 2,065 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% (Y-Y) เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปัจจัยที่ทำให้กำไรปกติมาจากการเติบโตของ 5 กลุ่มธุรกิจ
ทั้งนี้ WHA ได้มุ่งขยายโครงการใหม่ในทำเลที่มีศักยภาพทั้งในประเทศไทย และประเทศเวียดนาม เพื่อรองรับความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าเพิ่ม
สำหรับไตรมาส 1/2568 WHA Group มีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 16 แห่ง ทั้งในประเทศไทย และเวียดนาม โดยพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่กำลังก่อสร้าง และรอการพัฒนารวม 7 โครงการ บนพื้นที่ 9,681 ไร่ ล่าสุด มีการพัฒนาพื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรม WHA Eastern Seaboard Industrial Estate 5 (WHA ESIE 5) เฟส 1 พื้นที่กว่า 4,000 ไร่ ภายใต้แนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ “Smart Eco Industrial Estate” ที่มุ่งเน้นการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่ทันสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และการพัฒนาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ขณะที่ประเทศเวียดนาม มี 2 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง พื้นที่รวม 2,297 ไร่ และอีก 1 โครงการ มีขนาดพื้นที่ 1,094 ไร่ อยู่ระหว่างการขออนุมัติใบอนุญาตลงทุน โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัด Thanh Hoa เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม พื้นที่รวม 4,000 ไร่
น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การที่สหรัฐปิดดีลเจรจาภาษีกับเวียดนามเรียบร้อยแล้วนั้น ในส่วนของนิคมอุตสาหกรรมที่เวียดนามน่าจะดีขึ้นจากเดิมที่โดนเก็บภาษีนำเข้า 46% เหลือ 20% เพราะในช่วงแรกลูกค้ายัง งงอยู่เพราะคาดว่าน่าจะต่ำกว่าที่ได้ประกาศครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม สำหรับการเจรจาของประเทศไทย ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าเท่าไร โดยขณะนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างเจรจา ซึ่งจากการติดตามข่าวเห็นบอกว่าน่าจะอยู่ที่ 18% จาก 36% และคาดว่าจะต่อรองให้ได้ 10% ซึ่งก็ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าอะไรก็ตามถ้าไทยโดนภาษีที่ต่ำกว่าเวียดนามหรือไม่สูงกว่าเป็นเรื่องที่ดีกับประเทศไทยเพราะว่า จากการที่สหรัฐได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าครั้งแรกในไทยได้มีการเซอร์เวย์ลูกค้าที่ปัจจุบันมีการส่งออกไปสหรัฐสูง โดยลูกค้า 70% มองว่าหากไทยโดนภาษีที่ 10% เป็นเรื่องที่รับได้ ส่วนลูกค้าอีก 30% มองว่าถ้าไม่เกิน 20% ก็ยังพอรับได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดู
“หากสุดท้ายแล้วไทยโดนเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐที่ตัวเลข 18% ที่หลายคนมอง หรือต่ำกว่านี้ลงมาก็น่าสนใจ ซึ่งอะไรก็ตามขอให้ต่ำกว่าเวียดนามเข้าไว้ ส่วนการที่เวียดนามจะเป็นประเทศคู่แข่งกับไทยก็ไม่ใช่ direct เสมอไปเพราะในปัจจุบันการที่จะลงทุนประเทศไหนอยู่ที่ว่าอินดัสตรีนั้นๆ ต้องการอะไร”
ทั้งนี้ ปัจจุบันที่ไทยยังเหนือกว่าเวียดนามคือ Infrastructure ที่ดีกว่า อนาคตหากเวียดนามพัฒนาไปเรื่อยๆ รวมถึงมีการปรับจังหวัด และ Restart ทั้งประเทศซึ่งหากทำได้ดีใน 5 ปีนี้ ความสามารถทางการแข่งขันเวียดนามจะสูงกว่าไทยมาก และไทยก็จะเหนื่อยถ้าไม่ปรับอะไร ส่วนเรื่องค่าแรงที่เป็นจุดเด่นของเวียดนามก็เริ่มลดลงแล้วเพราะในเมืองหลักไม่ว่าจะเป็นโฮจิมินห์และฮานอย ก็ปรับค่าแรงสูงขึ้น จากการขยายการลงทุนเยอะมากขึ้น
“ตอนนี้ทั้ง ฮานอยและโฮจิมินห์ ก็เริ่มมีประเด็นแรงงานที่เริ่มไม่พอแล้ว และยังมีประเด็นเกิดการแย่งแรงงานกันเกิดขึ้น จึงต้องดูในเรื่องนี้ จากการพัฒนาประเทศให้ไปข้างหน้าเพิ่มขึ้น ทั้งเทคโนโลยีต่างๆ มากขึ้น”
น.ส.จรีพร กล่าวถึงสินค้าสวมสิทธิที่เป็นปัญหาในประเทศไทยว่า ยืนยันว่าลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA ทั้งหมดล้วนเกิดการผลิตจริงไม่ทั้งสิ้น ลูกค้าสหรัฐที่ล้วนเป็นบริษัทใหญ่ หากจะซื้อสินค้าจะบินมาตรวจโรงงานในนิคมว่าผลิตจริงหรือไม่ซึ่งมีการผลิตจริงที่เป็นโลคอล คอนเทนต์ และไม่มีการสวมสิทธิแน่นอนจะเห็นได้จากที่ลูกค้าในนิคมเมื่อซื้อที่ดินเสร็จก็จะสร้างโรงงาน และนำเครื่องจักรเข้า รวมถึงเชิญเราหรือแม้กระทั่งเชิญรัฐมนตรี หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี เพื่อไปเปิดโรงงานให้เห็นไลน์ผลิต
ดังนั้น จะเห็นว่าขณะนี้ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตรวจสอบ และปิดโรงงานที่มาสวมสิทธิอยู่มาก ถือเป็นประเด็นที่เอามาสวมสิทธิ ดังนั้น ในส่วนนี้เอกชนเห็นด้วยหากภาครัฐจะมีการทำอย่างจริงจัง เพราะกลายเป็นว่าผลกระทบมาเสร็จที่ประเทศไทย ที่ต้องมาเจอในเรื่องของภาษีที่มาสวมสิทธิ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นอยู่แล้วในการนำสินค้าเข้ามาแล้วเปลี่ยนฉลากสวมสิทธิ เพราะประเทศไทยไม่ได้อะไรเลย รวมถึงคนไทยก็ไม่ได้อะไรไม่ควรจะมีอยู่แล้วต้องจัดการขั้นเด็ดขาด
“เศรษฐกิจขึ้นปีหลังในการลงทุนของ WHA ยังดีต่อเนื่อง เพราะในครึ่งปีหลังยังมองว่าลูกค้าที่เตรียมจะโอนที่ดินหรือลูกค้ารายใหม่ยังคงคอนเฟิร์มอยู่”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







