เร่งสร้างเสถียรภาพการเมืองเร็วที่สุด

    การถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งใช้จังหวะที่นายกรัฐมนตรีถูกแรงกระหน่ำทางการเมือง ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะมีการขู่ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงของภาวะถดถอย โดยเฉพาะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งหลังปี 2568 ยิ่งทำให้มีความกังวลต่อการรับมือเศรษฐกิจประเทศ

    โจทย์ทางเศรษฐกิจหลังจากนี้มีหลายเรื่องที่รัฐบาลจำเป็นต้องวางนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะการเจรจาภาษีระหว่างไทยและสหรัฐที่ประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น 36% และสหรัฐกำหนดเส้นตายการผ่อนผันอัตราภาษีตอบโต้ 90 วัน ซึ่งจะครอบกำหนดในวันที่ 7 ก.ค.2568 ระหว่างนี้จำเป็นที่รัฐบาลต้องติดตามการเจรจาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประเทศไทยได้รับข้อเสนอที่ดีและไม่เสียเปรียบประเทศคู่แข่งในด้านอัตราภาษีนำเข้า

    ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลและนำมาสู่ความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ถึงแม้ว่าในอดีตที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะไม่มีผลต่อนโยบายการส่งเสริมการลงทุน แม้ว่าจะมีการรัฐประหารก็ตาม แต่สถานการณ์ที่นักธุรกิจขาดความเชื่อมั่นเช่นในปัจจุบันนำมาสู่การ Wait and see ในกรณีนี้มีโอกาสที่จะตัดสินใจไปลงทุนในประเทศอื่นแทนที่มีความพร้อมรองรับการลงทุนใกล้เคียงหรือดีกว่าไทย
    ประเทศไทยจึงอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องการการตัดสินใจและการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อสร้างเสถียรภาพรัฐบาลที่นำมาสู่การขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้นนักการเมืองทุกคนควรมองทางออกของประเทศที่ตอบโจทย์การประโยชน์ให้ประเทศมากที่สุด ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลควรมองเห็นว่าการเล่นเกมการเมืองที่สร้างผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มเป็นการบั่นทอนการพัฒนาประเทศอย่างร้ายแรง