ทอท.ถกเปิดทาง ‘คิง เพาเวอร์’ ลดจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนดิวตี้ฟรี

ทอท.ถกเปิดทาง ‘คิง เพาเวอร์’ ลดจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนดิวตี้ฟรี

ทอท.นัดถก "คิง เพาเวอร์" แจงเหตุยื่นหนังสือบอกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี 5 สนามบิน หลังเอกชนยืนยันสถานการณ์เปลี่ยน ปัจจัยภายนอกเหนือการควบคุม กระทบธุรกิจไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ยอมรับเงื่อนไขปรับลดการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนเป็นทางออกที่ดี หากเทียบกับเลิกสัญญา และเปิดประมูลใหม่

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณี บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ทำหนังสือถึง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เพื่อหาแนวทางยกเลิกสัญญากิจการร้านค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) 3 สัญญา ในพื้นที่ 5 ท่าอากาศยาน โดยระบุว่า ตนได้รับแจ้งเรื่องดังกล่าว และได้กำชับให้ ทอท.หารือเรื่องนี้อย่างรอบคอบ คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ และภาครัฐต้องไม่เสียเปรียบ

อย่างไรก็ดี หากการหารือเป็นที่สิ้นสุด และพบว่าจำเป็นต้องปรับแก้รายละเอียดของสัญญา เรื่องนี้ได้รับรายงานจาก ทอท.ว่าไม่จำเป็นต้องนำเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เนื่องจากสัญญาดังกล่าวไม่ได้เป็นสัญญาร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และเอกชนตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 2562

แหล่งข่าวจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า วานนี้ (17 มิ.ย.68) ทอท.ได้นัดหารือกับคิง เพาเวอร์ โดยมี นายสมบัตร เดชาพานิชกุล รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป็นตัวแทนเข้าร่วมหารือ ซึ่งรายละเอียดการหารือครั้งนี้เป็นการสอบถามถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจดิวตี้ฟรี และที่มาของการทำหนังสือถึง ทอท. ว่ามีความต้องการในเรื่องอะไร และ ทอท.จะนำประเด็นปัญหาไปประกอบการพิจารณาแนวทางแก้ไขต่อไป

ทั้งนี้ ทอท.ได้รับข้อมูลว่าทางคิง เพาเวอร์ ยืนยันผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการดำเนินธุรกิจ สืบเนื่องจากปัจจัยภายนอกเหนือการควบคุม อาทิ เศรษฐกิจโลก การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 สงคราม และการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากคาดการณ์ของ ทอท.เมื่อครั้งการเปิดประมูลดิวตี้ฟรีในปี 2562 ทำให้ข้อเสนอผลประโยชน์ตอบแทนที่คิง เพาเวอร์ เคยเสนอไว้ ไม่ได้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเป็นต้นทุนที่แบกรับมาอย่างต่อเนื่อง

แหล่งข่าว กล่าวด้วยว่า จากการประเมินในขณะนี้พบว่าทางคิง เพาเวอร์ ไม่ได้มีความต้องการยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี เพียงแต่ต้องการหารือแนวทางหากดำเนินธุรกิจต่อไปภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ยังคงจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนเช่นเดิมนั้น ก็อาจทำให้ธุรกิจต้องขาดทุนต่อเนื่อง และไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ทำให้ต้องทำหนังสือถึง ทอท.ในการหารือแนวทางว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไร หรือหากจะต้องยกเลิกสัญญาจำเป็นต้องดำเนินการอย่างไร มีเงื่อนไขกำหนดในสัญญาไว้อย่างไร

ในส่วนของ ทอท.นั้นก็ไม่ได้มีแนวทางยกเลิกสัญญากับคิง เพาเวอร์ ดังนั้นแนวทางออกในขณะนี้ ยอมรับว่าข้อเสนอการปรับลดจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้คิง เพาเวอร์นั้น เป็นแนวทางออกที่เหมาะสม โดย ทอท.จำเป็นต้องศึกษารายละเอียด ปริมาณผู้โดยสาร และอัตราผลตอบแทนใหม่ที่สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบัน และเจรจากับคิง เพาเวอร์อีกครั้ง รวมไปถึงต้องเปรียบเทียบด้วยว่ารัฐต้องไม่เสียประโยชน์

“แนวทางการปรับลดจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนก็ถือเป็นทางออกที่ดี แต่ต้องสะท้อนด้วยว่าทางเลือกนี้จะไม่ทำให้ ทอท.เสียประโยชน์ หากเทียบกับการเปิดประมูลใหม่ ดังนั้นต้องศึกษารอบด้านว่าปัจจุบันธุรกิจดิวตี้ฟรียังมีเอกชนสนใจยื่นข้อเสนอหรือไม่ และหากประมูลใหม่จะได้รับผลตอบแทนมากกว่าหรือไม่ โดยเรื่องนี้ ทอท.จะเร่งศึกษาให้ได้ข้อสรุปภายใน 60 วัน”

ทั้งนี้ ขอชี้แจงว่าที่ผ่านมา ทอท.มีสัญญากับผู้ประกอบการรายอื่นๆ มากกว่า 1,000 สัญญา และมีการเจรจาปรับแก้สัญญามาโดยตลอด ดังนั้นกรณีของคิง เพาเวอร์ ที่ต้องการเจรจาแก้ไขสัญญาเนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปนั้น ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ดำเนินการไม่ได้ แต่เนื่องด้วยสัญญาคิง เพาเวอร์ มีมูลค่าค่อนข้างมาก ทำให้ต้องศึกษารายละเอียดให้รอบคอบ และยืนยันว่าภายใต้สัญญากับคิง เพาเวอร์ ยังมีเงื่อนไขแนบท้ายไว้ด้วยว่า หากเกิดเหตุสุดวิสัยสามารถเปิดการเจรจาได้

นอกจากนี้ หากยกเลิกสัญญากับคิง เพาเวอร์ ก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการร่างสัญญาเปิดประมูล และหาเอกชนยื่นข้อเสนอใหม่ รวมทั้งต้องให้เวลาเอกชนเข้าพื้นที่เพื่อปรับปรุงพื้นที่ ซึ่งคาดว่ากระบวนการเหล่านี้จะใช้เวลามากกว่า 6 เดือน ซึ่งระหว่างนั้นภายในอาคารผู้โดยสารก็จะไม่มีร้านค้าดิวตี้ฟรี เรื่องนี้จึงต้องพิจารณาด้วยว่าเป็นผลดีต่อ ทอท.และบริการผู้โดยสารหรือไม่

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์