'คลัง' จับตาภาษีทรัมป์ เขย่างบฯ เตรียมรับมือ ยันดิจิทัลวอลเล็ตได้ มิ.ย.

'คลัง' จับตาภาษีทรัมป์ เขย่างบฯ เตรียมรับมือ ยันดิจิทัลวอลเล็ตได้ มิ.ย.

"เผ่าภูมิ" ระบุรัฐบาลพร้อมปรับทิศทางดำเนินงานเตรียมรับนโยบายสหรัฐ ชี้ยังอยู่ในช่วงรอความชัดเจน ก่อนกำหนดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้มีประสิทธิภาพที่สุด ระบุ "ดิจิทัลวอลเล็ต" เฟส 3 รอรับฟังความเห็นตามกระบวนการปกติ ยังไม่เปลี่ยนไทม์ไลน์

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะมีการหารือกันในการบริหารจัดการงบประมาณทั้งหมด และงบประมาณรายจ่ายปี 69 เพื่อรับมือกับปัจจัยภายนอกที่กดดันเศรษฐกิจไทยที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ยังไม่ได้มีการพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนั้น (6 พ.ค.) เนื่องจากยังรอรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกระบวนการปกติ

ซึ่งโครงการดิจิทัลวอลเล็ตถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ซึ่งจะต้องรับฟังความคิดเห็นให้รอบด้าน โดยปัจจุบันยืนยันว่าไทม์ไลน์ชองโครงการยังคงเดิมคือเริ่มใช้จ่ายได้ภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ หรือภายในเดือน มิ.ย.
 

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า อย่างไรก็ดี สถานการณ์ปัจจุบันเกิดจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่ใช่แค่ประเทศไทย อีกทั้งผลลัพธ์ของนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐในปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ทั้งยังมีการประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบายอยู่ตลอด จึงทำให้การจะประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงฝุ่นตลบ และยากที่จะประเมินความเสียหายและขนาดเม็ดเงินที่เหมาะสมที่จะเข้าไปอุดช่องโหว่ 

"รัฐบาลไทยมีการปรับทิศทางการดำเนินงานให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐให้ได้มากที่สุด ตามข้อมูลและช่วงเวลาที่เหมาะสม การรีบตัดสินใจพูดวันนี้อาจถูก แต่พรุ่งนี้อาจผิด จึงยังรอให้สถานการณ์ต่างๆ มีความชัดเจนขึ้น เพื่อกำหนดขนาดของมาตรการที่จะใช้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด"
 

นายเผ่าภูมิ กล่าวต่อว่า สภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีโมเมนตัมการเติบโตที่ดีขึ้นในทุกไตรมาส แม้จะยังโตช้ากว่าที่คาดการณ์ แต่ก็ขยายตัวได้ดีขึ้น แต่ปัจจัยภายนอกที่เข้ามาแทรกทำให้เศรษฐกิจสูญเสียโมเมนตัมไปบ้าง ซึ่งรัฐบาลจับตาดูว่าผลกระทบจะมากเพียงใด และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในการลดผลกระทบต่างๆ

ทั้งในมิติของการเจรจากับสหรัฐ การเตรียมความพร้อมภายในประเทศ และการออกมาตรการสนับสนุนผู้ส่งออก โดยกระทรวงการคลังจะมีการเรียกหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณามาตรการพยุงเศรษฐกิจ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ เกษตร ท่องเที่ยว และการต่างประเทศ 

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า งบกลางฯ เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในงบประมาณรายจ่ายปี 2568 ที่ยังมีวงเงินเหลืออยู่ 1.57 แสนล้านบาท จะต้องใช้ให้ทันก่อนสิ้นปีงบประมาณนี้ ซึ่งท่านรัฐมนตรีได้มีการพิจารณาว่าจะต้องใช้ในเรื่องใดที่จะสามารถตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในวันนี้ ทั้งนี้ความต้องการใช้งบประมาณมีอยู่มากแต่เงินมีจำกัด จึงต้องมีการจัดลำดับความสำคัญว่าจะจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ทำอะไร

"รัฐบาลกำลังมีการพิจารณาว่าจะทำโครงการอะไรเพื่อให้ตอบโจทย์กับสถานการณ์ หากมีงบประมาณไม่เพียงพอก็อาจมีความจำเป็นต้องกู้เพิ่มเติมตามความจำเป็นฉุกเฉินเร่งด่วน โดยจะต้องเป็นโครงการที่จับต้องได้ และควรจะเป็นโครงการลงทุนขนาดเล็กและกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็ว"