กรมชลฯ ศึกษาต้นทุนน้ำภาคตะวันออก ก่อนเดินหน้าจัดเก็บค่าใช้น้ำที่เหมาะสม

กรมชลฯ ศึกษาต้นทุนน้ำภาคตะวันออก  ก่อนเดินหน้าจัดเก็บค่าใช้น้ำที่เหมาะสม

กรมชลประทาน เดินหน้าโครงการศึกษาวิจัยต้นทุนน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก ดึงข้อมูลพื้นที่ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เคาะจัดทำโครงสร้างต้นทุนจากระบบชลประทานก่อนจัดเก็บค่าน้ำที่เหมาะสมตาม พรบ.ทรัพยากรน้ำ

KEY

POINTS

  • กรมชลประทาน จ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิจัยต้นทุนน้ำในพื้นที่จังฉะเชิงเทรา ,ชลบุรีและ ระยอง  เพื่อวิเคราะห์ โครงสร้างต้นทุนและการประเมินต้นทุน การจัดการน้ำอุปทาน  
  • การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจและสังคม คาดว่าในปี 2580 จะมีความต้องการใช้น้ำรวม 3,089 ล้านลูกบาศก์เมตร( ลบ.ม.)ต่อปี   
  • กรมชลประทานจะกำหนดอัตราค่าน้ำชลประทานที่เหมาะสมและเป็นรูปธรรมสำหรับทุกภาคส่วนที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงตามบริบทการจัดหา จัดสรร พัฒนา ให้บริการด้านอุปทานน้ำ

กรมชลประทาน เดินหน้าโครงการศึกษาวิจัยต้นทุนน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก ดึงข้อมูลพื้นที่ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เคาะจัดทำโครงสร้างต้นทุนจากระบบชลประทานก่อนจัดเก็บค่าน้ำที่เหมาะสมตาม พรบ.ทรัพยากรน้ำ

นายสุรชาติ มาลาศรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้ว่าจ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นที่ปรึกษาในการดำเนินโครงการศึกษาวิจัยต้นทุนน้ำในพื้นที่จังฉะเชิงเทรา ,ชลบุรีและ ระยอง ซึ่งถือเป็นพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก:EEC) เพื่อศึกษา รวบรวม และวิเคราะห์ โครงสร้างต้นทุนและการประเมินต้นทุน การจัดการน้ำอุปทานโดยกรมชลประทานและการกำหนดอัตราค่าน้ำชลประทานที่เหมาะสมและเป็นรูปธรรมสำหรับทุกภาคส่วนที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงตามบริบทการจัดหา จัดสรร พัฒนา ให้บริการด้านอุปทานน้ำ (Water Resources Supply)

กรมชลฯ ศึกษาต้นทุนน้ำภาคตะวันออก  ก่อนเดินหน้าจัดเก็บค่าใช้น้ำที่เหมาะสม กรมชลฯ ศึกษาต้นทุนน้ำภาคตะวันออก  ก่อนเดินหน้าจัดเก็บค่าใช้น้ำที่เหมาะสม

 

รวมทั้งวางแผนและกำหนดทิศทางการพัฒนาและประยุกต์ใช้โครงสร้างต้นทุนการจัดการน้ำอุปทานและอัตราคำน้ำชลประทานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่สอดคล้องกับแผนหลักการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ EEC ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน กลุ่มผู้ใช้น้ำให้เกิดการบริหารจัดการน้ำในเขตพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกแบบบูรณาการ

จัดการอุปทานน้ำสอดคล้องดีมานด์ 

โดยคณะผู้เชี่ยวชาญจะทำการศึกษาวิเคราะห์และกำหนดข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแนวทางการจัดการน้ำอุปทานอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับภาคส่วนผู้ใช้น้ำที่เกี่ยวข้อง ที่ได้รับการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบแล้วให้มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ และรองรับอุปสงค์น้ำจากการคาดการณ์บริบทการเปลี่ยนแปลงในอนาคตและพัฒนาระบบ Web Application สนับสนุนการวิเคราะห์ ประเมิน และกำหนดต้นทุนการจัดการน้ำอุปทานและกำหนดต้นทุนการจัดการน้ำ กำหนดอัตราค่าน้ำชลประทานอย่างเหมาะสม

กรมชลฯ ศึกษาต้นทุนน้ำภาคตะวันออก  ก่อนเดินหน้าจัดเก็บค่าใช้น้ำที่เหมาะสม

 ภายใต้การคาดการณ์ปริมาณน้ำที่สามารถใช้การได้ ความต้องการน้ำและระดับความขาดแคลนอย่างมีมาตรฐานและเป็นธรรมสำหรับทุกภาคส่วนในเป้าหมาย 3 จังหวัดคือฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง คาบเกี่ยวกับ2ลุ่มน้ำหลัก ได้แก่ ลุ่มน้ำบางปะกงและลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกรวมพื้นที่ศึกษาทั้งหมดประมาณ 8,454,375 ไร่

 โดยในการศึกษาครั้งนี้ได้แบ่งประเภทความต้องการน้ำออกเป็น 4ประเภทด้วยกันคือ 1.น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคและการท่องเที่ยว 2.น้ำเพื่อการอุตสาหกรรม 3.น้ำเพื่อการเกษตรชลประทานและ 4.น้ำเพื่อรักษาสมดุลระบบนิเวศและผลักดันน้ำเค็ม

 

 

 

ยึดพื้นที่ศก.นำร่องศึกษาต้นทุน

นายสุรชาติ กล่าวว่ากรมชลประทานเลือกพื้นที่ภาคตะวันออกนำร่องในการศึกษาต้นทุนน้ำ เนื่องจากว่าในปัจจุบันจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยองเป็นพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมและการลงทุนหลักของประเทศไทยและภูมิภาค

กรมชลฯ ศึกษาต้นทุนน้ำภาคตะวันออก  ก่อนเดินหน้าจัดเก็บค่าใช้น้ำที่เหมาะสม

นอกจากเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญแล้วยังมีฐานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และการเกษตรมูลค่าสูง ทำให้มีแรงงานทุกระดับหลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่ส่งผลให้มีความต้องการความมั่นคงด้านน้ำสูงและคาดการณ์ว่าจะเพิ่มสูงเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2580 จะมีความต้องการใช้น้ำรวม 3,089 ล้านลูกบาศก์เมตร( ลบ.ม.)ต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีความต้องการใช้น้ำรวม 2,419 ล้าน ลบ.มต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 670 ล้าน ลบม ต่อปี อันเนื่องจากการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจและสังคมตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล       โดยความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ 3 จังหวัด คิดเป็น 53.5% ของความต้องการใช้น้ำทั้งภาคตะวันออก ทั้งนี้ ความต้องการใช้น้ำภาคอุปโภค-บริโภคมีอัตราการเพิ่มขึ้นมากที่สุด 56% รองลงมาคือภาคอุตสาหกรรม 43% และภาคเกษตรกรรม 17%

สำหรับความต้องการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและการท่องเที่ยว จังหวัดชลบุรีมีความต้องการใช้น้ำมากที่สุดรองลงมาระยอง และฉะเชิงเทรา  ส่วนความต้องการใช้น้ำเพื่อการอุตสาหกรรมจังหวัดที่มีความต้องการใช้มากที่สุดคือ ระยองรองลงมาชลบุรี203.95ล้านลบ.ม.และฉะเชิงเทรา ด้านความต้องการใช้น้ำเพื่อการเกษตรชลประทาน จังหวัดฉะเชิงเทรามีความต้องการใช้มากที่สุด

ประมาณการอัตราค่าน้ำชลประทาน 

โดยแนวทางในการวิเคราะห์และพัฒนาโครงสร้างต้นทุนการจัดการน้ำอุปทาน การประมาณการมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและการกำหนดอัตราค่าน้ำชลประทานนั้น จะเน้นศึกษารูปแบบ วิธิการ กลไกลและแนวทางการแจกแจงโครงสร้างต้นทุนการประเมินต้นทุนและการกำหนดราคาน้ำในประเทศต่างๆที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทย 

อาทิ สหภาพยุโรปมีการกำหนดกฎระเบียบด้านการบริหารจัดการน้ำ (EU Water Framework Directive)โดยส่งเสริมเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งรวมถึงภาษีและค่าทำเนียมทั่วไปเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ใช้น้ำในการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและลดปัญหามลพิษทางน้ำ 

รวมทั้งแนวทางขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่นหรือไจก้า ได้นำเสนอแนวทางการกำหนดราคาค่าน้ำกรณีศึกษาของเมืองเกียวโตซึ่งในข้อมูลได้นำเสนอรายได้จากการจัดเก็บค่าน้ำเปรียบเทียบกับต้นทุนอุปทานน้ำและอัตราส่วนความคุ้มทุนรวมระยะในการทบทวนอัตราค่าน้ำของผู้ให้บริการน้ำในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น