สินค้าไทยรับ"อานิสงส์"วิกฤตทะเลแดง โอกาสส่งออกไปยังตะวันออกกลาง

สินค้าไทยรับ"อานิสงส์"วิกฤตทะเลแดง โอกาสส่งออกไปยังตะวันออกกลาง

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เกาะติดสถานการณ์วิกฤตทะเลแดง กังวลยืดเยื้อทำสินค้าในตะวันออกกลางปรับขึ้น ขณะที่การส่งออกไทยไปตะวันออกกลางไม่กระทบ แต่อาจได้รับอานิสงค์จากการหันกลับมาซื้อสินค้าไทยทดแทน

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรววงพาณิชย์  เกาะติดสถานการณ์กรณีความไม่สงบในอิสราเอลที่ส่งผลกระทบต่อการค้าไทย โดยเฉพาะสถานการณ์วิกฤตทะเลแดงที่กลุ่มกบฏฮูตี โจมตีเรือขนส่งสินค้าที่เดินเรือผ่านทะเลแดงมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ล่าสุดสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รายงานว่า  ข้อมูลจากบริษัทวิจัย BMI ในเครือบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Solutions ชี้หากวิกฤตในทะเลแดงยังคงดําเนินต่อไปอีก 2 เดือน จะเห็นราคาสินค้าในตะวันออกกลางแพงขึ้นนับตั้งแต่ที่กลุ่ม Houthi ในเยเมนโจมตีและยึดเรือสินค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอล ซึ่งแล่นผ่าน ช่องแคบ Bab-el-Mandeb ในทะเลแดง เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2566 โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ แสดงการต่อต้านอิสราเอลที่ทำสงครามในฉนวนกาซา

การเดินเรือทะเลขนส่งตู้คอนเทนเนอร์สินค้าของโลก  30 %  โดยประมาณผ่านทะเลแดง อีกทั้ง    ยังเป็นช่องทางเดินเรือส่งออกสินค้าสำคัญ ของประเทศที่ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเกือบทั้งหมดในตะวันออกกลาง ขณะนี้ประมาณ  90 % ของเรือเหล่านั้นกําลังเปลี่ยนเส้นทางใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในช่องแคบ Bab Al Mandeb ระหว่างประเทศเยเมนและประเทศจิบูตี  เพราะเป็นเส้นทางสําคัญสําหรับเรือในการเข้าถึงคลองสุเอซและขนส่งสินค้าระหว่างยุโรปและเอเชีย

 

ทะเลแดง (Red Sea) เป็นเส้นทางเดินเรือที่สําคัญของโลกและประเทศตะวันออกกลาง ที่ต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางจากคลองสุเอซมาใช้เส้นทางแหลม Good Hope ในแอฟริกา ที่เพิ่มระยะทางเวลาขนส่งประมาณ 10-15 วัน และค่าระวางเรือเพิ่มขึ้น 1.89-2.42 เท่า อนาคตอันใกล้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นการปรับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคในตะวันออกกลาง ส่วนใหญ่อาศัยนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศสมาชิก GCC

BMI กล่าวว่า สัดส่วน 81.6 % (ประมาณ 229 พันล้านดอลลาร์) ของการนําเข้าสินค้าอุปโภคและบริโภคในตะวันออกกลาง ต้องเผชิญกับการหยุดชะงักของการขนส่งในทะเลแดง เนื่องจากสินค้าเหล่านั้นถูกขนส่งโดยใช้ทางลัดคลองสุเอซที่สําคัญระหว่างตลาดเอเชียและยุโรป ดังนั้นตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่มีความเสี่ยงมากที่สุดจากราคาอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น เนื่องจากวิกฤตทะเลแดงทําให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักและผลักดันต้นทุนการขนส่งให้สูงขึ้น

นาง Jordan Poulter นักวิเคราะห์ผู้บริโภคอาวุโสของ BMI กล่าวว่าวิกฤตนี้นํามาซึ่งความเสี่ยงหลักสองประการของผู้บริโภค ประการที่หนึ่ง คือภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลมาจากค่าขนส่งที่สูงขึ้นในทันที ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อซัพพลายเออร์ต้นทุนต่ำ และทําให้บริษัทต่างๆ เปลี่ยนไปใช้วิธีการขนส่งทางเลือก หรือแม้แต่เปลี่ยนวิธีการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ความเสี่ยงประการที่สองคือการขาดแคลนผลิตภัณฑ์ เนื่องจากเส้นทางการเดินเรือที่ยาวขึ้น ทําให้เกิดความล่าช้าและปัญหาคอขวดของห่วงโซ่อุปทาน การชะลอตัวของการผลิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงตรุษจีนสองสัปดาห์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. จะส่งผลกระทบต่อความพร้อมของผลิตภัณฑ์เช่นกัน ทําให้ราคาสุดท้ายสูงขึ้น

 

สำหรับผลกระทบการส่งออกไทยไปตะวันออกกลาง นั้นรายงานระบุว่า ภาพรวมการส่งออกสินค้าไปตลาดตะวันออกกลาง 15 ประเทศ ในปี 2566 มีมูลค่า 1,1167 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 1.6 % ประเทศหลักที่ส่งออกตามลำดับสัดส่วน ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  20%  ซาอุดีอาระเบีย 23.9%  ตุรเคีย 13.8%  อิรัก 8.0%  อิสราเอล 6.9%  โอมาน 3.9%  คูเวต 3.7%  กาตาร์ 2.9%  เยเมน 2.0%  จอร์แดน 1.8%  บาห์เรน 1.5%  อิหร่าน 1.2%  เลบานอน 1.2%  ซีเรีย 0.2% และปาเลสไตน์ 0.02%  

โดยสินค้าส่งออกหลักจะเป็น รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้ากสิกรรม อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ปลากระป๋อง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล และสิ่งทอ

ส่วนการส่งออกสินค้าไทยไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น จอร์แดน อิสราเอล อียิปต์และปาเลสไตน์ ผ่านเส้นทางทะเลแดงและคลองสุเอซคิดเป็นสัดส่วนรวมกันประมาณ 10 %  ส่วนประเทศอื่นที่เหลือ เช่น กลุ่ม GCC (6ประเทศ) อิหร่าน เยเมน และอิรัก  จะขนส่งผ่านทะเลอาหรับ ( Arabian Sea) บริเวณทางเหนือของมหาสมุทรอินเดีย ผ่านเข้าอ่าวอาหรับ และผ่านท่าเรือของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อกระจายสินค้าต่อไปยังประเทศ    ในตะวันออกกลางอื่นๆ  ดังนั้นภาพรวมการส่งออกไปตะวันออกกลาง น่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวมากนัก

“ผู้ประกอบการของไทยที่ส่งออกสินค้าไปตะวันออกกลาง อาจได้รับโอกาสมากขึ้นในการขายสินค้า เนื่องจากผู้ส่งออกในยุโรปติดปัญหาเรื่องค่าขนส่ง การจัดส่งสินค้าไปยูเออีและประเทศตะวันออกกลาง  อาจทำให้ผู้นำเข้าหันมาสั่งสินค้าจากประเทศไทยทดแทน”