ลุ้นรัฐออกพันธบัตร 'แก้เกม' ดิจิทัลวอลเล็ต

นายกฯ เผยกฤษฎีกาส่งความเห็นกู้เงินแจกดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว เตรียมแถลงรายละเอียดในอีก 2 วัน สะพัดกฤษฎีกาชี้ย้อนแย้งออก พ.ร.บ. กู้เงินแก้วิกฤตชาติ รัฐบาลเตรียมแก้เกมระดมทุนผ่านการออกพันธบัตร หวังผลักดันโครงการต่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล  จากกรณีที่ เมื่อเดือนธันวาคม 256  กระทรวงการคลังได้ส่งข้อหารือ ถึงคณะกรรมการกฤษฏีกา พิจารณา เกี่ยวกับการที่รัฐบาลจะออก พ.ร.บ.กู้เงินฯ 5 แสนล้านบาท เพื่อไปใช้จ่ายโครงการ แจกเงินหมื่นดิจิทัลว็อลเล็ตได้หรือไม่   โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มอบหมายให้ คณะกรรมการกฤษฏีกาคณะที่ 12 ซึ่งมีนายพนัส สิมะเสถียร  อดีตรมว.คลัง เป็นประธาน  ได้มีการประชุมกันเมื่อปลายเดือนธันวาคม และตอบข้อหารือจากกระทรวงการคลัง เสร็จสื้นเรียบร้อยแล้ว โดยได้ส่งเรื่องให้ กระทรวงการคลัง  ต่อไป  

ทั้งนี้ ประธานในที่ประชุม ได้กำชับที่ประชุม จะไม่เป็นผู้ให้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยขอให้รัฐบาลหรือกระทรวงการคลังเป็นผู้แถลงข่าวในเรื่องนี้เอง

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า  สำหรับประเด็นสำคัญที่คณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 12 ให้ความสำคัญคือ ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการกู้เงินเพิ่มเติมจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลจะสามารถทำได้เมื่อเกิดกรณีวิกฤติ ฉุกเฉิน และจำเป็นเร่งด่วนอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย มาตรา 53 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ที่ระบุว่าหากใช้เงินที่ไม่ได้เป็นไปตามงบประมาณปกติ หรือกู้เงินรัฐบาลจะทำได้ใน กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น

โดยมาตรา 53 พ.ร.บ.วินัยการคลังฯ ระบุว่าการกู้เงินของรัฐบาลนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังกระทำได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะ และเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน

กฎหมายที่ตราขึ้นตามวรรคหนึ่ง ต้องระบุวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ระยะเวลาในการกู้เงิน แผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ วงเงินที่อนุญาตให้ใช้จ่ายเงินกู้ และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ

การดำเนินแผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้นั้น เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้กระทรวงการคลังเก็บรักษาไว้ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ เบิกไปใช้จ่ายตามแผนงานหรือโครงการตามที่กฎหมายกำหนดได้โดยไม่ต้องนำส่งคลัง เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น 

นอกจากนี้ที่ผ่านมาพบว่า กรณีที่เกิดวิกฤติกับประเทศรัฐบาลต้องกู้เงิน เพื่อใช้ในการรับมือกับวิกฤติที่เกิดขึ้นรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มาใช้การออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ในการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เช่น ในช่วงวิกฤติโควิด-19 รัฐบาลในช่วงนั้น ใช้มติ ครม.ในการออก พ.ร.ก. ซึ่งเป็นวิธีการจัดการในช่วงที่เกิดวิกฤติ ไม่ใช่เป็นการออก พ.ร.บ. เพราะต้องใช้เวลานาน

ดังนั้น สะท้อนว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในขนาดนี้ของประเทศไม่ได้วิกฤติจริง รัฐบาลจึงใช้วิธีการออก พ.ร.บ. ซึ่งใช้เวลาในการออกกฎหมายนาน และเห็นว่าการออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาทจึงมีความย้อนแย้งกันกับสิ่งที่รัฐบาลบอกว่าเกิดวิกฤติที่ต้องเร่งแก้ไข

ขณะที่รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 140 ที่บัญญัติไว้ว่า การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือกฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง หรือกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ เว้นแต่ในกรณีจำเป็นรีบด่วนจะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ

โดยกรณีดังกล่าว  ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายชดใช้ในพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป ซึ่งการกู้เงิน 5 แสนล้านบาทนั้น รัฐบาลไม่สามารถชำระคืนได้เต็มจำนวนในปีงบประมาณถัดไปตามที่ข้อกฎหมายกำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม รายละเอียดทั้งหมดต้องรอฟังแถลงอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล

ด้านนายเศรษฐา  ทวีสิน  นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ที่จ.ร้อยเอ็ด โดยยอมรับว่า ได้รับความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฏีภาแล้วเมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา   โดยมีข้อเสนอแนะ-ข้อคิดเห็น ซึ่งคงต้องรอความเห็นจากอีกหลายฝ่าย และภายใน 48 ชั่วโมงนี้ (2 วัน) คงจะมีการแถลงข่าวออกมาว่าขั้นตอนต่อไปจะดำเนินการอย่างไร 

เมื่อถามว่า เบื้องต้นไม่ได้มีข้อติดขัดอะไร ที่จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่มี แต่มีข้อเสนอแนะมา จึงมีขั้นตอนที่ต้องไปดำเนินการต่อ 

ส่วนจะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 9 มกราคมนี้เลยหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี บอกว่า ”ไม่ครับ และยังไม่ทราบว่าต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่“ เพราะเพิ่งได้รับความเห็นคณะกรรมกากฤษฎีกาเมื่อวานนี้ ต้องให้ทางทีมคณะกรรมการฯ ทีมทำงาน ศึกษาพูดคุยกันก่อน

แหล่งข่าวระดับสูงจากทำเนียบรัฐบาล  เปิดเผยว่า ผลจากการตีความของกฤษฏีกา  ทำให้รัฐบาลเตรียมหาทางออกโดยจะมีการเสนอ ออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อเป็นการระดมทุน จำนวน หนึ่งล้านล้านบาท โดยจะนำเงินมาใช้ในโครงการแจกหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต ตามที่พรรคเพื่อไทย หาเสียงไว้ ที่จะต้องเดินหน้าต่อไป