“อุตสาหกรรม” เร่งเคลื่อนโยบายเปลี่ยนผ่านอุตฯ หนุนผู้ประกอบการปรับตัว

“อุตสาหกรรม” เร่งเคลื่อนโยบายเปลี่ยนผ่านอุตฯ หนุนผู้ประกอบการปรับตัว

กระทรวงอุตฯ เร่งขับเคลื่อนนโยบายเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมสู่ยุคใหม่ ดึงซอฟพาวเวอร์สร้างเชื่อมั่นสินค้าบริการไทย หนุนผู้ประกอบการปรับตัวพร้อมรับกติกาสากล

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในงานสัมมนา “Thailand CEO ECONMASS Awards 2023 FAST Forward Better Thailand” ในหัวข้อ “เร่งเครื่องยนต์เศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพประชาชน“ เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2566 ว่านโยบายกระทรวงอุตสาหกรรมชัดเจนว่าจะเดินหน้าแบบที่ผ่านมาไม่ได้ แต่ต้องยกระดับเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและมีความยั่งยืน โดยในอนาคตต่อจากนี้การทำธุรกิจอุตสาหกรรมจะไม่ใช่แค่การผลิตของเพียงอย่างเดียว แต่มีการเพิ่มศักยภาพทั้งด้านการค้าและบริการมากขึ้น 

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเศรษฐกิจจะเป็นกลไกหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไปข้างหน้า แบ่งออกเป็น อุตสาหกรรมอนาคต(New S-Curve) 12 อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมกึ่งบริการ ที่ทำ product as a service เช่น การผลิตเพื่อเช่า และสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ใหม่ 

อุตสาหกรรมที่มีพลังซอฟต์พาวเวอร์ โดยการดึงศักยภาพของความเป็นไทยมาเพื่อทำให้อุตสาหกรรมแข็งแรง ยกตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้ที่ใช้พลังซอฟต์พาวเวอร์ในการผลักดันอุตสาหกรรมแฟชั่นและความงาม ซึ่งไทยเองต้องกำหนดยุทธศาสตร์และวางแผนในการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ที่ขายได้ในประเทศและต่างประเทศ 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ ในการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ไทยให้มีความแข็งแรง เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของสินค้าและบริการ เมื่อผู้บริโภคเห็นว่าเป็นสินค้า Made in Thailand ก็จะมีความรู้สึกที่ดีต่างไปจากสินค้าอื่นๆ เช่นอาหารไทย”

“อุตสาหกรรม” เร่งเคลื่อนโยบายเปลี่ยนผ่านอุตฯ หนุนผู้ประกอบการปรับตัว

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายในการประยุกต์อุตสาหกรรมเข้ามาบริหารจัดการภาคเกษตร หรือที่เรียกว่า เกษตรอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ผลักดันให้เกษตรกรไปเป็นนักธุรกิจเกษตร รวมถึงอุตสาหกรรมชุมชนที่ต้องมีมาตรฐานมากขึ้น

สำหรับการเดินหน้าดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ นายกฯ เองมีบทบาทในการออกไปโรดโชว์ในต่างประเทศ โดยล่าสุดนายกฯ ได้อนุมัติตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ชุดใหม่เมื่อวานนี้ ( 24 ต.ค.) เตรียมขับเคลื่อนการลงทุนอีวีในประเทศต่อเนื่อง

“ตอนนี้โลกหมุนแล้ว ถึงพยายามที่จะหยุดแต่ก็ทำไม่ได้ อุตสาหกรรมเองต้องเดินต่อไปข้างหน้า โดยกระทรวงฯ จะร่วมมือกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สร้างกลไกในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและเปลี่ยนผ่าน”

ขณะเดียวกัน นอกจากการผลักดันให้อุตสาหกรรมเติบโตยังต้องคำนึงถึงเรื่องความยั่งยืนด้วย ทั้งการให้ความสำคัญในการอยู่ร่วมกับชุมชนโดยรอบโรงงาน เช่น การใช้กลไกการตรวจโรงงาน 100% มาตรการควบคุม PM 2.5 การส่งเสริมให้มีการกระจายรายได้ รวมถึงอีโคซิสเต็มอุตสาหกรรมที่ต้องตอบโจทย์มาตรฐานและกติกาสากลเพื่อส่งเสริมการส่งออก เช่น พืชไร่ต้องไม่เผา การทำป่าไม้ยั่งยืน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องเร่งให้ผู้ประกอบการปรับตัวไม่อย่างนั้นหากตลาดส่งออกมีมาตรการกีดกัน อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมประมง ก็ทำให้ส่วนหนึ่งต้องปิดตัวลง

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศต่อจากนี้การทำงานแบบทีมไทยแลนด์เป็นเรื่องสำคัญ โดยต้องให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนไม่ใช่เพียงภาครัฐเท่านั้น ขณะที่กระทรวงฯ เองจะทำหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมและกำกับควบคุมภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งผลักดันการใช้ระบบดิจิทัลในการบริการ 

นอกจากนี้ การผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์ใหญ่ของรัฐบาลมองว่าจะเป็นโอกาสใหม่ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาเชิงพื้นที่ และเป็นอีกจุดยุทธศาสตร์ที่น่าดึงดูดการลงทุน การตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่สามารถนำเข้าและส่งออกได้ทั้ง 3 เส้นทาง ทางบก และอีก 2 มหาสมุทร