ธปท.เร่งแบงก์อุ้มลูกหนี้สกัด NPL ต่อเนื่อง

ภาพรวมหนี้เสียของทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ ล่าสุดปรับตัวลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการหนี้เสีย การตัดขายหนี้ การขายหนี้เสียออกจากระบบแบงก์ ทำให้หนี้เสียมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ระบุ ภาพรวมหนี้เสียของทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ ล่าสุดปรับตัวลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการหนี้เสีย การตัดขายหนี้ การขายหนี้เสียออกจากระบบแบงก์ ทำให้หนี้เสียมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น แต่หากดูหนี้ที่กำลังจะเสีย หรือ สินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ที่เริ่มมีการค้างชำระ แต่ไม่เกิน 90 วันทั้งระบบอยู่ที่ 6.6 แสนล้านบาท แม้จะเป็นตัวเลขที่สูง แต่ช่วงโควิด-19 ตัวเลขสูงกว่านี้ และเชื่อว่าหากแบงก์แก้ได้ทัน ผ่านการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ ลูกหนี้เหล่านี้ก็จะไม่ไหลไปเป็นหนี้เสีย
ดังนั้น ตัวเลขหนี้ที่กำลังจะเสียที่มีในระบบจำนวนมากเป็นสิ่งที่ ธปท.ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด และให้เร่งเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านมาตรการทางการเงินที่มีอยู่ เช่นมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว ที่จะมีส่วนในการช่วยเหลือลูกหนี้ ไม่ให้ไหลไปเป็นหนี้เสียได้
ทั้งนี้ เชื่อว่าแนวโน้มหนี้เสียได้ผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว และนโยบายธปท.ก็พยายามทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างราบรื่น และพยายามดูแลลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อน ที่อาจได้รับผลกระทบชั่วคราว ดังนั้นธปท.จึงขอให้แบงก์เร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่ามาตรการที่ธปท.ออกมาจะมีส่วนช่วยไม่ให้หนี้เสียในระบบเพิ่มขึ้นมากนัก
ธนาคารพาณิชย์โกยกำไรไตรมาสแรก 6 หมื่นล้าน
สำหรับภาพรวมธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 1 ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 6 หมื่นล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ 6.2 หมื่นล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยและฐานของสินเชื่อที่ขยายตัว รวมถึงค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองที่ปรับลดลงจากปีก่อน
ขณะที่สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1 ปี 2566 ขยายตัวที่ 0.5% ชะลอลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการชำระคืนหนี้ของภาครัฐ ธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loans) ราว 1.38 แสนล้านบาท รวมทั้งการบริหารจัดการคุณภาพหนี้โดยธุรกิจขนาดใหญ่
ด้านคุณภาพสินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์มีการบริหารจัดการคุณภาพหนี้และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 4.98 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 2.68% ของสินเชื่อรวมทั้งหมด
ทั้งนี้ ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มครัวเรือนเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีหนี้สูง และการฟื้นตัวของธุรกิจบางกลุ่ม โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีทรงตัวจากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 86.9%
ขณะที่ภาคธุรกิจสัดส่วนหนี้สินภาคธุรกิจต่อจีดีพีปรับลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 88.4% ด้านความสามารถในการทำกำไรปรับลดลง แต่ฐานะการเงินโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยยังต้องติดตามผลกระทบจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่ชะลอลง และบางธุรกิจที่อ่อนไหวต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันการเงินยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง







