คาดตลาดอสังหาฯ ปีหน้าแตะ 4.5 แสนล้านบาท

สถานการณ์ธุรกิจคอนโดมิเนียมในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวสูงสุดในรอบ 4 ปีจากหลากหลายปัจจัย

นายกสมาคมอาคารชุดไทย พีระพงศ์ จรูญเอก ระบุ  สถานการณ์ธุรกิจคอนโดมิเนียมในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวสูงสุดในรอบ 4 ปีจากหลากหลายปัจจัย อาทิ การคลี่คลายของสถานการณ์ COVID-19 การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ การเดินทางมาลงทุนและท่องเที่ยวของต่างชาติจากการเปิดประเทศของนานาประเทศสำคัญทั่วโลก ส่งผลให้ภาพรวมกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนคอนโดมิเนียมกลับมามีโอกาสเติบโตในทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งผู้ประกอบการทุกกลุ่มยังต้องมุ่งปรับตัว และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน 

สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ ปีนี้ทยอยฟื้นตัวตามการจ้างงานยาวไปจนถึงปีหน้า เติบโตไปตามจีดีพี คาดจะเติบโตได้ 15% จากปีที่ผ่านมาทั้งบ้านและคอนโดฯ และจะต่อเนื่องไปถึงปี 2566 ที่ประเมินว่าตลาดจะมีมูลค่ารวม 450,000 ล้านบาท เท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เติบโต เป็นไปได้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมากว่า 20 ล้านคน เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการทำให้คนกลุ่มนี้สามารถซื้อบ้าน คอนโดได้มากขึ้น

ส่วนมาตการผ่อนปรน LTV ที่จะหมดสิ้นปีนี้มองว่าจะมีปัจจัยบวกด้านอื่นมากลบปัจจัยลบจาก LTV ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมอสังหาฯ มากนัก มองว่าภาพรวมการขาย การโอนกรรมสิทธิ์ในปีหน้าจะกลับมาใกล้เคียงกับปี 2562 ช่วงก่อนโควิด

ทั้งนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังต้องเผชิญซัพพลายดิสรัปชัน จากต้นทุน เงินเฟ้อ และดอกเบี้ยขาขึ้น ต่อเนื่องในปีหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นดีเวลลอปเปอร์ทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ต้องปรับกลยุทธ์ การตลาดให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และการกลับมาของลูกค้าต่างชาติ 

ปัจจุบันสัดส่วนของลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ ในประเทศไทย ประมาณ  5-7% ซึ่งต่ำกว่าก่อนหน้านี้่ที่เคยมีสัดส่วนสูงสุดอยู่ที่ 20% ในปี 2561 แต่คาดว่าปีหน้าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 10% ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญผลักดันตลาดอสังหาฯ และภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ