หอการค้า มั่นใจ “สี จิ้น ผิง”ขึ้นผู้นำจีน สานต่อนโยบายฟื้นเศรษฐกิจจีน

หอการค้า มั่นใจ “สี จิ้น ผิง”ขึ้นผู้นำจีน สานต่อนโยบายฟื้นเศรษฐกิจจีน

หอการค้าไทย มอง”สี จิ้น ผิง”ขึ้นผู้นำจีนสมัยที่3 แรงหนุนเศรษฐกิจจีน เชื่อนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของจีนเติบโตในระดับ 6 - 9%ก่อนที่จะลดลงมาล่าสุดอยู่ในระดับประมาณ 2%จากมาตรการ Zero Covid ของผู้นำ สี จิ้น ผิง ที่ต้องการจัดการกับโรคระบาดอย่างเด็ดขาดผ่านมาตรการที่เข้มงวด แม้ว่าชาวจีนได้รับการฉีดวัคซีนแล้วถึง 92% และเหลือเพียง 8% เท่านั้นที่ยังไม่ได้รับวัคซีน แต่รัฐบาลจีนยังคงประกาศใช้นโยบายนี้ต่อไปเพื่อให้มั่นใจว่า จะไม่มีการกระจายของเชื้อภายในประเทศ เพราะเพียงการติดเชื้อ 1% ของประชากร ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่น่ากังวล ซึ่งในมุมบวกก็แสดงให้เห็นว่าจีนให้ความสำคัญกับการควบคุมการแพร่ระบาดมาก 

แต่ในทางตรงกันข้ามมาตรการนี้ก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง ประกอบกับธนาคารกลางจีนยังได้ออกมาตรการธุรกรรมเงินสด เช่น หากฝากถอนเกิน 50,000 หยวน ก็ต้องแจ้งข้อมูลที่มาและการนำเงินไปใช้ ซึ่งสร้างความกังวลในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจ รวมไปถึงในปีนี้จีนเผชิญกับปัญหาภัยแล้ง และอุทกภัยในหลายพื้นที่ รวมถึงปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่กระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นภายในจีนเองในช่วงที่ผ่านมาพอสมควร

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านาย สี จิ้นผิง จะได้รับการเลือกตั้งให้กลับมาเป็นผู้นำจีนอีกในวันที่ 16 ต.ค. นี้แน่นอน โดยมีการคาดการณ์ว่าช่วงเวลานั้นน่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโควิด และการอนุญาตให้ชาวจีนและชาวต่างชาติสามารถเข้าออกประเทศได้ อันจะเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัวเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในระดับ 4 - 5%และประเทศไทยก็จะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวนี้ด้วย เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา จีนเข้ามาลงทุนในไทยเป็นลำดับ 6 ของอาเซียน ซึ่งถือว่าน้อยมาก

หอการค้าไทย ประเมินว่า การเปิดช่องสำหรับวาระการดำรงตำแหน่งที่มากกว่า 2 สมัยให้กับนาย สี จิ้นผิง ได้เป็นผู้นำต่อไป จะเป็นผลบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจไทยด้วย เพราะแนวนโยบายต่างๆ ยังคงดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ประกอบกับไทยและจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนาน และโดดเด่นเป็นอย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งหลายครั้งที่เมื่อไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ จีนจะเข้ามามีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในฐานะมหามิตรประเทศอยู่เสมอ 

“ดังนั้น หากพญามังกรจีนสามารถกลับมาฟื้นตัวจากปัญหาต่างๆ ภายในประเทศได้ ก็เชื่อว่าไทยจะได้รับอานิสงค์นี้ในปี 2566 และส่งผลให้ GDP ของไทย เติบโตได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 4% ต่อไป”

ทั้งนี้หอการค้าฯ  ได้มีการจัดตั้งคณะทำงาน Task Force ไทย-จีน โดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย นำโดย ท่าน หัน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ดำเนินโครงการศึกษาเรื่อง การค้า-การลงทุนของประเทศจีนกับประเทศไทย ซึ่งผลการศึกษาจะแล้วเสร็จในเดือนต.ค. 2565และจะมีการเผยแพร่ผลการศึกษา พร้อมกับแนวการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยและจีน ผ่านการจัดงาน “Thailand-China Investment Forum” ก่อนการจัดประชุมAPEC ในเดือนพ.ย.นี้ เชื่อว่าส่วนนี้จะช่วยเสริมให้การค้าและการลงทุนจีนไทย เพิ่มขึ้นมาได้แน่นอน โดยเราจะได้ใช้ประโยชน์จาก EEC เชื่อมโยงให้ได้เต็มที่

สำหรับ ภาคการท่องเที่ยว นั้น ภายหลังการเมืองภายในและปัญหาต่างๆ ของจีนสงบนิ่งแล้ว เชื่อว่าชาวจีนจะสามารถกลับมาท่องเที่ยวในไทยได้อย่างเต็มที่ หอการค้าไทยประเมินว่า ในปีหน้าหากจีนเปิดการเข้าออกประเทศเป็นปกติ จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทยได้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน รวมถึงกลุ่มนักลงทุนในจีนที่จะเข้ามาลงทุนในบ้านเราเพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากหลายบริษัทขนาดใหญ่ของจีนที่เห็นโอกาสและศักยภาพของไทย และเริ่มขนทัพมาลงทุนในไทย ตัวอย่างเช่น บริษัท BYD ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีน ได้เข้ามาลงทุนในบ้านเราแล้ว และยังจะมีบริษัทอื่นๆ โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นธุรกิจSupply Chain ได้เข้ามาลงทุนเพิ่มเติม รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์การแพทย์ ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลจำเป็นต้องปรับปรุงกฎระเบียบและอำนวยความสะดวกให้ต่างชาติเพื่อเอื้อต่อการลงทุน เพราะไทยเองก็ถือเป็น Strategic Area ที่จีนสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ได้