ส่งออก” ก.ค.โต 4.3% ส่งสัญญาณเริ่มชะลอตัว

พาณิชย์ เผยส่งออกเดือนก.ค. โต 4.3 % มูลค่า23,629.3 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ 7เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัว 11.5% มูลค่า 172,814.1 ล้านดอลลาร์ จับตาปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์กระทบส่งออก วางแผนส่งเสริมการส่งออก 345 กิจกรรม พร้อมเตรียมประชุมทูตพาณิชย์ 14 ก.ย.2565 นี้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือน ก.ค.2565 มีมูลค่า 23,629.3 ล้านดอลลาร์ เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วขยายตัว 4.3% โดยถ้าหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย มีมูลค่า 20,306 ล้านดอลลาร์ จะขยายตัว 4.1%
ขณะที่ภาพรวม การส่งออกของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัว 11.5% มีมูลค่า 172,814.1 ล้านดอลลาร์ และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว 8.3 % มูลค่า 147,451 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้การส่งออกไทยยังคงขยายตัวจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นหลัก ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากราคาสินค้าเกษตรและอาหารที่สูงขึ้นตามปริมาณผลผลิตโลกที่ยังได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย อาทิ การส่งออกธัญพืชได้อย่างจำกัดของยูเครนในช่วงเวลาก่อนหน้า มาตรการจำกัดการส่งออกของต่างประเทศ จึงทำให้ไทยได้รับประโยชน์ในฐานะเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญ ขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวเพียงเล็กน้อย เนื่องจากภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับเซมิคอนดักเตอร์เริ่มได้รับผลกระทบมากขึ้น และผลจากมาตรการล็อกดาวน์เมืองอุตสาหกรรมสำคัญของจีน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการผลิตและการส่งมอบ
อย่างไรก็ดี ยังมีบางกลุ่มสินค้าที่การส่งออกขยายตัวดี โดยเฉพาะสินค้าที่ได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด อาทิ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น สำหรับด้านตลาดส่งออกเริ่มเห็นสัญญาณเติบโตในอัตราชะลอตัว เนื่องจากคู่ค้ามีแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่สูง
ทั้งนี้ การส่งออกในเดือนก.ค.2565 สินค้าเกษตร ลดลง 0.3% เพราะปีนี้ผลไม้สด หมดฤดูกาลเร็ว จึงไม่มีของส่งออก จากช่วงก่อนหน้านี้ ประสบความสำเร็จในการส่งออกไปจีน จึงฉุดภาพรวมให้ลดลง แต่สินค้าเกษตรอื่น ๆ ยังเพิ่มขึ้น เช่น ผลไม้แช่แข็งและผลไม้แห้ง เพิ่ม 94.3% โดยเฉพาะทุเรียนแช่แข็ง เพิ่ม 126.2% ลำไยแห้ง เพิ่ม 66.3% ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป เพิ่ม 35.5% ข้าว เพิ่ม 21.5% ยางพารา เพิ่ม 12% และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 38.1% เช่น น้ำตาลทราย เพิ่ม 258.8% ไอศกรีม เป็นดาวรุ่งตัวใหม่ เพิ่ม 34.2% บวก 26 เดือนต่อเนื่อง อาหารสัตว์เลี้ยง เพิ่ม 25.4% บวก 35 เดือนต่อเนื่อง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เพิ่ม 17.3% อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เพิ่ม 16.4%
ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มเพียง 0.1% เพราะมีปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ที่เกิดกับอุตสาหกรรมทั่วโลก ทำให้มีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าที่ต้องใช้ชิป แต่ก็ยังมีหลายสินค้าที่ส่งออกได้เพิ่ม เช่น เครื่องโทรสาร โทรศัพท์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่ม 34.6% เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เพิ่ม 25.5% ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม เพิ่ม 21.4% อัญมณีและเครื่องประดับ เพิ่ม 19.1% เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว เพิ่ม 13.6% เครื่องนุ่งห่ม เพิ่ม 10.7%
สำหรับตลาดส่งออกที่ขยายตัวได้ดี 10 อันดับแรก ได้แก่ 1.เกาหลีใต้ เพิ่ม 39.4% 2.ตะวันออกกลาง เพิ่ม 27.4% 3.แคนาดา เพิ่ม 27.3% 4.CLMV เพิ่ม 24.2% 5.อาเซียน (5 ประเทศ) เพิ่ม 21.3% 6.เอเชียใต้ เพิ่ม 21.1% 7.ทวีปออสเตรเลีย เพิ่ม 20% 8.สหราชอาณาจักร เพิ่ม 17.2% 9.สหภาพยุโรป เพิ่ม 8.1% และ 10.สหรัฐฯ เพิ่ม 4.7%
ทางด้านการค้าชายแดนและผ่านแดน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตัวเลขการส่งออก เดือนก.ค.2565 การส่งออกชายแดนไปยัง 4 ประเทศ มาเลเซีย เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา มีมูลค่า 51,665 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.80% และรวม 7 เดือน มีมูลค่า 376,074 ล้านบาท เพิ่ม 19.9% ส่วนการส่งออกผ่านแดนไปจีน เวียดนาม และสิงโปร์ เดือนก.ค. มีมูลค่า 36,123 ล้านบาท ลด 27.30% รวม 7 เดือนมูลค่า 218,541 ล้านบาท ลด 21.16% เพราะสามารถแก้ปัญหาระบบการขนส่งได้ดี โดยแทนที่จะส่งออกทางบก ก็หันไปส่งออกทางเรือ ทางอากาศแทน ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องติดขัดที่ด่าน
“ประเมินว่าทั้งปียังเป็นบวก เพราะกระทรวงพาณิชย์ได้จับมือกับภาคเอกชนร่วมมือกันแก้ปัญหาและจะเพิ่มแผนงานและกิจกรรมต่าง ๆ ให้มากขึ้น ซึ่งผมได้สั่งให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลก เร่งรัดทำแผนส่งออกทั้งเชิงรุกและเชิงลึก มายังกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแล้ว ขณะนี้แผนงานทั้งหมดทำเสร็จสิ้นแล้ว ได้ดำเนินการทางปฏิบัติแล้ว เดิมกำหนดแผนการจัดกิจกรรมเชิงรุกและเชิงลึกทั้งปี 2565 ไว้ 185 กิจกรรม แต่จะเพิ่มอีก 345 กิจกรรม รวมเป็น 530 กิจกรรม ซึ่งวันที่ 14 ก.ย.2565 ได้สั่งการให้มีการนัดประชุมทูตพาณิชย์ทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อติดตามผลและเร่งรัดการดำเนินกิจกรรม เพื่อทำให้ตัวเลขการส่งออกปี 2565 ให้ดีที่สุด”นายจุรินทร์ กล่าว
ส่วนตัวเลขการขาดดุลการค้า เดือนก.ค.2565 ที่มีมูลค่า 3,660.5 ล้านดอลลาร์ และ 7 เดือนมูลค่า 9,916.3 ล้าน ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าที่มีราคาสูงตามการสูงขึ้นของตลาดโลก เช่น น้ำมัน และทองคำ และหากราคาพลังงานโลกยังสูงอีก ก็ยังมีโอกาสที่จะขาดดุลอีก แต่ในนี้ ก็มีการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกในอนาคต
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 มีทิศทางชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยในเดือน มิ.ย.2565 การส่งออกของไทยขยายตัวถึง 11.9% โดยทิศทางการชะลอตัวเป็นผลมาจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัวลง รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อในหลายประเทศ
นอกจากนี้ปัญหาใหญ่ส่วนหนึ่งมาจากการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอรซึ่งเริ่มเห็นได้ชัดในการส่งออกเดือนก.ค.ที่ตัวเลขลดลง







