“สนธิรัตน์”จี้ดูแลกลุ่มเปราะบาง สู้ดอกเบี้ย-ไฟฟ้าขึ้น เตือนรับมือ Tech war

“สนธิรัตน์”จี้ดูแลกลุ่มเปราะบาง สู้ดอกเบี้ย-ไฟฟ้าขึ้น เตือนรับมือ Tech war

“สนธิรัตน์” ห่วงดอกเบี้ย - ไฟฟ้าขึ้น กลุ่มเปราะบางกระทบหนัก เตือนรับมือ “ชิป” ขาดแคลนหลังความขัดแย้งจีน - ไต้หวันลากยาว กลายเป็น Tech War

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 ส.ค.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า เก็บมาฝากเรื่องปากท้องสัปดาห์นี้ 17  สิงหาคม มาแล้วครับ 

กลับมาทักทายทุกท่านอีกครั้งครับ ในสัปดาห์ก่อนผมเคยพูดถึงวิกฤติซ้อนวิกฤติ และฝากไปถึงภาครัฐให้เตรียมรับมืออยู่เสมอจากปัญหาที่ไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้นได้  สัปดาห์นี้เรื่องพูดคุยก็มีตามนี้ครับ

ค่าไฟปรับเพิ่มขึ้นกันยายน นี้ ค่าไฟจะเพิ่มขึ้นจากค่าเอฟที (Ft) ที่เพิ่มขึ้น อย่างที่เคยบอกไว้ ปัจจัยที่ทำให้ราคาขึ้นคือ ต้นทุนเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตไฟฟ้าอย่างก๊าซธรรมชาติที่มีความผันผวนทั้งในส่วนของราคา และปริมาณ

 

 

ประเด็นที่ต้องมองต่อไปคือ การช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบางจะเป็นอย่างไร เพราะในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ความช่วยเหลือในภาระค่าครองชีพที่เพิ่มก็เป็นหน้าที่ ที่รัฐต้องเข้ามาดู

และการบริหารต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในภาพรวมก็ต้องเข้ามาดูเรื่องต้นทุน ค่าเอฟที ค่าก๊าซ ค่าเชื้อเพลิงการผลิต ที่จะส่งต่อผู้ใช้ไฟฟ้าที่ทั้งในส่วนประชาชนทั่วไป รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม และนิคมอุตสาหกรรม

ชิป-ผลกระทบจากความสัมพันธ์จีน-ไต้หวัน

ครั้งนี้ถือเป็นวิกฤติอีกระลอกได้ครับ ถ้าทุกท่านได้ตามข่าว คงทราบดีว่า เหตุการณ์ความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา หลังการไปเยือนของผู้นำระดับสูง อย่าง แนนซี เพโลซี เมื่อคืนวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้จีนต้องออกมาตอบโต้ต่อการกระทำดังกล่าวของสหรัฐ ทันที ตั้งแต่การซ้อมรบบริเวณพื้นที่เกาะไต้หวัน  และการสั่งห้ามส่งออกทรายธรรมชาติ ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นทางในการผลิต semi – conductor หรือที่เราเรียกกันว่า chips ไปยังไต้หวัน 

Chips เป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ใช้ในการผลิตแผงวงจร เพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และยิ่งชิปเล็กมากเท่าไร ก็จะทำงานได้เร็ว และประหยัดพลังงานได้มากเท่านั้น 

มาถึงตอนนี้ทุกท่านคงสงสัยใช่ไหมครับ ว่าแล้วไต้หวันเกี่ยวอะไรกับอุตสาหกรรมชิป ครั้งนี้

สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตชิป นั้น ไต้หวันถือเป็นผู้ผลิตรายสำคัญที่ประสิทธิภาพสูงเลยทีเดียว โดยครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 63% ของทั้งโลก โดย 54% มาจากบริษัท TSMC (บริษัทผู้สร้างชิปให้กับ Apple, Intel, Nvidia, AMD เป็นต้น) 7% จากบริษัท UMC และที่เหลือจากบริษัท PSMC และ VIS 

โดยจีนมีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 5% จากบริษัท SMIC ที่มีความพยายามปลุกปั้นเพื่อแข่งขันในตลาดแห่งนี้ และนี่เป็นที่มาของการขาดดุลทางการค้าของจีนต่อไต้หวันในทุกๆ ปี และถึงแม้จีนจะพยายามแข่งขันมากแค่ไหนแต่ก็ผลิตชิปได้เพียงแค่ขนาด > 130 nm และ 90nm – 45nm อีกเล็กน้อย ขณะนี้ตลาดชิปที่เล็กที่สุดในโลกเท่าที่ทำได้ขนาด 5 nm - 10 nm ตอนนี้มีเพียงไต้หวันเป็นผู้เล่นในตลาดนี้กว่า 90% รองลงมาเป็น บริษัท Samsung ของเกาหลีใต้ 

แล้ว ชิปที่ว่านี้ มันก็มีอุปกรณ์ในการผลิตพิมพ์ลายเซอร์กิตลงบนแผ่นซิลิคอนเวเฟอร์ (chip lithography machines) โดยมีบริษัท ASML จากเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นรายเดียวในโลกที่ส่งออกเครื่องผลิตประเภทนี้ แต่สุดท้ายประเทศต้นทางก็ห้ามส่งออกเครื่องจักรประเภทนี้ออกไปยังจีน ซึ่งต่อให้จีนพัฒนาอุตสาหกรรมชิปมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้ชิปเล็กขนาด 5 nm - 10 nm อย่างที่ไต้หวันทำได้ มีรายงานจากสำนักข่าว Reuters ด้วยนะครับว่า การห้ามส่งออกครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากความพยายามของสหรัฐ 

ความพยายามล่าสุดจากสหรัฐ ก็มีเช่นเดียวกันในการผ่านร่างกฎหมาย Chips and Science เพื่อแข่งขันกับจีนในอนาคต

นี่จึงเป็น Tech war behind trade war  ที่ซ่อนตัวอยู่ และปัญหานี้จะยังไม่จบแน่หากทั้งผู้นำระเบียบโลกปัจจุบัน และผู้กล้าหน้าใหม่ที่เข้ามาท้าทายระเบียบโลกเดิม ปล่อยให้ยืดเยื้อเช่นนี้ต่อไป 

สำหรับผลกระทบในครั้งนี้จะเกิดขึ้นทั่วโลกหากห่วงโซ่อุปทานชิป ตัดลง อุตสาหกรรมยานยนต์ทั้ง EV และ Non - EV ในบ้านเราที่มีความจำเป็นต้องใช้อาจชะลอตัวลง รวมทั้งการส่งออกรถยนต์ของเราพร้อมกับต้นทุนที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย น่าห่วงครับ!

** ดอกเบี้ยขาขึ้น
อีกประเด็นหนึ่งคือ เรื่องของการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. เพิ่มขึ้น 0.25% จากเดิมเป็น 0.75% ซึ่งก็เป็นผลมาจากสถานการณ์เงินเฟ้อซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติพลังงาน และอาหาร ความพยายามในการเพิ่มขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามนโยบาย ธปท. เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นต้องช็อกไป 

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่สำคัญตอนนี้ที่มากกว่าเรื่องดอกเบี้ยนโยบายคือ ดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับ SME ที่รัฐจะต้องพยายามช่วย และให้พวกเขาเข้าถึงสินเชื่อ และดอกเบี้ยต่ำได้ง่ายขึ้น รวมถึงภาระดอกเบี้ยเดิมที่สูงขึ้นที่อาจต้องช่วยเหลือ นี่จะเป็นการประคับประคองเศรษฐกิจใน sector นี้ได้ 

ส่วนสถานการณ์เงินเฟ้อข้างหน้ายังรอเราอยู่อีกมาก การค่อยๆ สะสมปัญหาค่าครองชีพอาจยาวไปถึงปลายปี ทั้งปัญหาค่าไฟที่กำลังรอเราอยู่ การขึ้นค่าแรงอันจะเป็นผลต่อต้นทุนสินค้าในตุลาคม นี้ การตรึงราคาสินค้าอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 

การค่อยๆ สะสมปัญหาเรื่อยๆ แบบนี้ ถึงเวลาอาจแก้ไม่ทันได้ เพราะอนาคตข้างหน้าสถานการณ์ในประเทศเราอาจควบคุมได้บ้าง แต่จากภายนอกนั้นเราไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย อย่างกรณีที่เป็นอยู่ในวิกฤติเรื่องชิปดังที่กล่าวมา  

ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ

#สนธิรัตน์
#เศรษฐกิจ
#ค่าไฟ
#ค่าเอฟที

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์