แบงก์ชาติ ไม่ห่วงส่วนต่างดอกเบี้ยห่างต่างชาติ ย้ำเงินยังไหลเข้าไทยทะลัก

แบงก์ชาติ ไม่ห่วงส่วนต่างดอกเบี้ยห่างต่างชาติ ย้ำเงินยังไหลเข้าไทยทะลัก

ผู้ว่า ธปท. ชี้ว่าการดำเนินนโยบายการเงินจะทยอยปรับเข้าสู่ภาวะปกติ ย้ำการขึ้นดอกเบี้ยของไทยไม่ช้าไป ไม่ห่วงส่วนต่างดอกเบี้ยเสี่ยงสุด เหตุตั้งแต่ต้นปีเม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้าไทยสุทธิ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวใน หัวข้อ กล่าวปาฐกถาพิเศษ: "Normalizing Policy to Ensure a Smooth Take-off" ว่าแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงต่อไปจะทยอยปรับกลับเข้าสู่ภาวะปกติ (Policy normalization) เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจการเงินและสมดุลความเสี่ยงใหม่ที่ให้น้ำหนักกับเงินเฟ้อมากขึ้น โดยเน้นให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด (Smooth takeoff) ซึ่งการดำเนินนโยบายการเงินของแต่ละประเทศขึ้นกับวัฏจักรเศรษฐกิจ

        ซึ่งมีความแตกต่างกัน กุญแจสำคัญของการดำเนินนโยบายของไทย คือ การควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ และไม่ผันผวน (เสถียรภาพด้านราคา) และระบบการเงินทำหน้าที่ได้อย่างปกติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างราบรื่น

        ดร. เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่ผ่อนปรนมากในช่วงสถานการณ์โควิด 19 มีความจำเป็นลดลง แต่มาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างธุรกิจ SMEs หรือกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ ยังมีความจำเป็น เพราะการฟื้นตัวแต่ละกลุ่มยังไม่เท่าเทียมกัน 

       เช่น มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ยังดำเนินต่อจนถึงสิ้นปี 66 เป็นอย่างน้อย โดย ธปท. พร้อมปรับเปลี่ยนมาตรการให้ยืดหยุ่น ตามสถานการณ์และบริบทของลูกหนี้

แบงก์ชาติ ไม่ห่วงส่วนต่างดอกเบี้ยห่างต่างชาติ ย้ำเงินยังไหลเข้าไทยทะลัก       นอกจากนี้ ดร. เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การปรับทิศทางนโยบายการเงินจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจไทย (gradual and measured) 

      ซึ่งล่าสุด การประชุมวันที่ 10 ส.ค. 65 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จาก 0.50% เป็น 0.75% ต่อปี 

      โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น และคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ประมาณ 3% และปีหน้าประมาณ 4% จากอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นชัดเจน โดยในไตรมาสที่ 1 และ 2 ปี 65 ขยายตัว 3.5% และ 7% ตามลำดับ 

     ซึ่งมาจากรายได้ของแรงงานทั้งในและนอกภาคเกษตรที่ดีขึ้น รวมทั้งจากภาคท่องเที่ยวที่มีสัดส่วน 12% ของจีดีพี และ 20% ของการจ้างงานรวม 

      โดยเบื้องต้นคาดว่า ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 8 ล้านคน เพิ่มจาก 400,000 คนในช่วงที่โควิด 19 แพร่ระบาด แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด 19 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 40 ล้านคนต่อปี  

      สำหรับสถานการณ์เงินเฟ้อ แม้จะมีแรงกดดันสูงขึ้นแต่ยังมาจากปัจจัยด้านอุปทาน (supply side) เป็นหลัก

     อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตา คือ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายเดือน ขณะที่ระบบการเงินโดยรวมยังมีเสถียรภาพ เงินกองทุนและสภาพคล่องยังสูง

     ด้านปัจจัยความเสี่ยง ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยของไทยไม่ได้ช้าไป โดยแต่ละประเทศจะมีวัฏจักรเศรษฐกิจแตกต่างกัน 

    ซึ่งเห็นว่าหลายประเทศได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกหลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นกลับสู่ระดับก่อนโควิด 19 แล้ว 

    ขณะที่ประเทศไทยได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ฟื้นตัวกลับไปเท่ากับระดับก่อนโควิด 19 (คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิดภายในสิ้นปีนี้) 

    นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อมาจากปัจจัยอุปทาน (supply side) เป็นหลัก และความเสี่ยงของการปรับขึ้นค่าจ้างต่อเงินเฟ้อเป็นวัฏจักรต่อเนื่อง (Wage-price spiral) ในไทยค่อนข้างต่ำ ซึ่งต่างจากหลายประเทศที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง 

      ดร. เศรษฐพุฒิ เสริมว่า ข้อกังวลความเสี่ยงเรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยกับต่างประเทศ ที่จะส่งผลต่อเงินทุนไหลออกและเงินบาทอ่อนค่า

      ไม่ได้ให้น้ำหนักเป็นความเสี่ยงมากที่สุด เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าเพราะเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเป็นหลัก สอดคล้องกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค 

       โดยตั้งแต่ต้นปีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า 13% ส่วนเงินบาทอ่อนค่า 8% อ่อนค่ากว่าค่าเงินริงกิตมาเลเซีย แต่ดีกว่าค่าเงินเปโซฟิลิปปินส์ ขณะที่ตั้งแต่ต้นปี ยังมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าไทยสุทธิ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

      ส่วนความเสี่ยงบอนด์ยีลด์พุ่งสูงไม่น่ากังวล เพราะระบบเศรษฐกิจไทยทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือนพึ่งพาเงินทุนจากระบบธนาคารเป็นหลัก 

       นอกจากนี้ ความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น (Stagflation) มีความเป็นไปได้น้อย แม้สถานการณ์เงินเฟ้อไทยยังสูง แต่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องจากภาคท่องเที่ยวเป็นสำคัญ 

      ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกบ้าง แต่ไม่ถึงกับจะทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัว

      ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่าปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยยังให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวมากที่สุดและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์โลก เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับภาคการท่องเที่ยว