‘หาดทิพย์’ ลุยโตรอบทิศ ‘ภาษีความหวาน’ กระเทือนการเงินร้อยล้าน

“หาดทิพย์” ยังคงยืนหนึ่งอย่างแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาดน้ำอัดลมในพื้นที่ด้ามขวานไทย 14 จังหวัดภาคใต้ ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มในเครือ “โคคา-โคล่า”

ปี 2568 โอกาสหลายด้านที่จะผลักดันธุรกิจให้เติบโต แต่ก็มาพร้อมกับ “โจทย์ท้าทาย” ด้วย

พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ HTC ฉายภาพว่า ผลการดำเนินงานปี 2567 อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ สร้างยอดขายเครื่องดื่ม 8,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% “กำไรสุทธิ” อยู่ที่ 602 ล้านบาท เติบโต 0.6% หรือราว 4 ล้านบาท เนื่องจากเผชิญ “ต้นทุนสูงขึ้น” จากวัตถุดิบขวดแก้ว กระป๋อง

ส่วนยอดขายเชิงปริมาณอยู่ที่ 72.4 ล้านลัง เพิ่มขึ้น 3.5% กลุ่มเครื่องดื่มปราศจากน้ำตาลเติบโตสูง 22.9% ส่วนหนึ่งเพราะฐานยังเล็ก สัดส่วนเพียง 5.1% ช่องทางที่โตมากคือ ร้านสะดวกซื้อ 15% และโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ต่างๆ(HORECA)โต 19% ส่วนช่องทางร้านค้าทั่วไปโตเพียง 4% เท่านั้น และช่องทางดังกล่าวทำเงินถึง 50% ของพอร์ตโฟลิโอ

ด้านส่วนแบ่งทางการตลาดน้ำอัดลมในภาคใต้ “หาดทิพย์” ยังครอง 78.3% แต่เทียบกับระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ถือว่าลดลง เนื่องจากการแข่งขันในตลาดสูงมาก โดยส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่บริษัทเคยมีคือ 81-82% ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่ม(รวมทุกหมวดหมู่)อยู่ที่ 24.7%

ทิศทางตลาดเครื่องดื่มพื้นที่ภาคใต้ คาดว่ายังโตต่อเนื่อง โดยมีแรงส่งจากเศรษฐกิจภาคใต้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประเมินจะเติบโต 3.1 - 4.1% การท่องเที่ยวฟื้นตัว การบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น อีกทั้งไตรมาส 2 เข้าสู่ไฮซีซันของตลาดจากสภาพอากาศที่ร้อน

“ตลาดเครื่องดื่มในเชิงมูลค่า พื้นที่ภาคใต้จะเติบโตกว่าภาคอื่น ปีก่อนตลาดโต 10% เพราะเศรษฐกิจโดยทั่วไป การท่องเที่ยวดี แต่ปีที่แล้วยอดขายร้านค้าทั่วไปของเราโตน้อย เงินในกระเป๋าผู้บริโภคน้อยลง น้ำอัดลมเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ผู้คนประหยัดมากขึ้น ไปรับประทานก๋วยเตี๋ยว จะเลือกดื่มน้ำชาฟรี ไม่ซื้อสินค้าสต๊อกไว้ที่บ้านเพื่อดื่ม ทำให้โอกาสดื่มน้อยลง ส่วน 2 เดือนแรกปีนี้เหนื่อยเล็กน้อย เพราะภาคใต้มีฝนตก”

ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดเครื่องดื่มที่จะโตในปี 2568 บริษัทวางเกมรุกปีขยายตลาดทุกช่องทางทั้งร้านค้าทั่วไป HORECA จะเพิ่มลูกค้าอีก 10% การเพิ่มจำนวนตู้แช่เครื่องดื่มอีก 10% จากปัจจุบันมีราว 1.7 หมื่นตู้ อีกหมากรบคือ การ “ลุยสินค้าใหม่ที่ยังไม่เคยมีในพอร์ตโฟลิโอ” และคืนชีพสินค้าเดิมที่เคยทำตลาด 

สำหรับการเพิ่มลูกค้า ยังดำเนินการควบคู่กับภารกิจรักษ์โลก สร้างความยั่งยืน ด้วยการผลักดันน้ำอัดลมขวดแก้วขนาด 300 มิลลิลิตร(มล.) “แบบคืนขวดรุ่นใหม่” ซึ่งบริษัทมีหน่วยรถส่งสินค้าเองโดยตรงไม่ผ่านห้างค้าปลีก ทำให้ “ร้านค้ามีกำไร” มากขึ้น

“บริษัทใช้เงินลงทุน 800 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานเครื่องดื่มขวดแก้วคืนขวดรุ่นใหม่ มีกำลังการผลิต 10 ล้านลังต่อปี เพิ่งใช้กำลังการผลิตราว 3 ล้านลังเท่านั้น ซึ่งน้ำอัดลมคืนขวดรุ่นใหม่ ราคาขายที่เป็นต้นทุนของลูกค้าต่อลังถูกกว่าบรรจุภัณฑ์ PET ค้าขายทำกำไรสูง อีกด้านจะเป็นจิ๊กซอว์ผลักดันสัดส่วนรายได้ขวดแก้วของบริษัทให้แตะ 10% จากปัจจุบัน 3%”

เป้าหมายธุรกิจปี 2568 บริษัทจะผลักดันรายได้แตะ 8,700 ล้านบาท เติบโต 5-7% อย่างไรก็ตาม บริษัทยังตั้งเป้าระยะกลางและยาว ในปี 2570 มีรายได้ 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มโดยรวมเป็น 30% และปี 2575 ต้องการสร้างรายได้ 1.5 หมื่นล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 35%

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนธุรกิจปี 2568 มีความท้าทายใหญ่ที่ส่งผลกระทบ “ทางการเงิน” นั่นคือ การเก็บภาษีความหวานเฟส 4 ที่จะมีผล 1 เมษายน นี้ ซึ่งบริษัทประเมิน 9 เดือน ผลกระทบทางการเงินอยู่ที่ 120 ล้านบาท และ 12 เดือน กระทบการเงิน 150-160 ล้านบาท

“การปรับสูตรเครื่องดื่ม เราไม่สามารถทำได้อย่างอิสระ ลดปริมาณน้ำตาลได้ด้วยตัวเอง ต้องมีการหารือกับโกลบอล เพราะโคคา-โคล่า ต้องทำให้รสชาติเครื่องดื่มเหมือนกันทั่วโลก ดังนั้นภาษีความหวานเป็นปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องปีนี้ ทำให้การแข่งขันของเราไม่เท่าเทียมกัน เพราะคู่แข่งบางรายประหยัดจากต้นทุนได้ และทำการตลาดซัดเราทุกปี”

อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้ประกอบการต้องหาแนวทางตั้งรับ ส่วนการขึ้นราคาสินค้าตอนนี้ยังไม่มี แต่ถ้าธุรกิจจมน้ำอาจต้องปรับราคาแน่นอน โดยการขึ้นภาษีความหวานเหมือน “กำไร” ถูกล้วงไปทุกปี

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์