‘เศรษฐา’ โชว์วิชั่นท่องเที่ยวไทยปี 68 รัฐผนึกพลังเอกชนผงาด ‘อันดับ 1’

‘เศรษฐา’ โชว์วิชั่นท่องเที่ยวไทยปี 68  รัฐผนึกพลังเอกชนผงาด ‘อันดับ 1’

'สุดาวรรณ' เผยนายกฯ 'เศรษฐา' โชว์วิชั่น 'ท่องเที่ยวไทย 2568' (Thailand Tourism 2025) วันนี้ เตรียมประกาศเป็น 'วาระแห่งชาติ' หนุนรัฐผนึกกำลังเอกชน ลุย 4 มาตรการยกระดับ จุดพลังศักยภาพสู่ที่ 1 การท่องเที่ยว ทั้งมิติประเทศไทยจะไม่หลับใหล ปั้นทุกจังหวัดสู่เมืองท่องเที่ยว

KEY

POINTS

  • “สุดาวรรณ” เผยนายกฯ “เศรษฐา” เตรียมโชว์วิชั่น “ท่องเที่ยวไทย 2568” (Thailand Tourism 2025) วันที่ 2 เม.ย. ณ ทำเนียบรัฐบาล เตรียมประกาศเป็น “วาระแห่งชาติ”
  • หนุนภาครัฐผนึกกำลังเอกชน ลุย 4 มาตรการยกระดับ จุดพลังศักยภาพสู่ที่ 1 การท่องเที่ยว ทั้งมิติประเทศไทยจะไม่หลับใหล ปั้นทุกจังหวัดหลัก-รองสู่เมืองท่องเที่ยว
  • “ททท.” วางเป้าหมายการทำงานในปี 2568 ดึงทัวริสต์ต่างชาติเข้าไทยไม่น้อยกว่า 39 ล้านคน สร้างรายได้ต่างประเทศ 2.23 ล้านล้านบาท
  • ด้าน “มหาสงกรานต์ 21 วัน” ปั๊มยอดคนเที่ยวในประเทศ 15 ล้านคน-ครั้ง เงินสะพัดกว่า 5.25 หมื่นล้านบาท

'สุดาวรรณ' เผยนายกฯ 'เศรษฐา' โชว์วิชั่น 'ท่องเที่ยวไทย 2568' (Thailand Tourism 2025) วันนี้ เตรียมประกาศเป็น 'วาระแห่งชาติ' หนุนรัฐผนึกกำลังเอกชน ลุย 4 มาตรการยกระดับ จุดพลังศักยภาพสู่ที่ 1 การท่องเที่ยว ทั้งมิติประเทศไทยจะไม่หลับใหล ปั้นทุกจังหวัดสู่เมืองท่องเที่ยว

จากเป้าหมายของรัฐบาล มุ่งขับเคลื่อนรายได้รวมภาคการท่องเที่ยวไทยไปให้ถึง 3.5 ล้านล้านบาทในปี 2567 หวังทุบสถิติแซงปี 2562 ยุคทองของภาคการท่องเที่ยวไทยซึ่งทำรายได้รวมสูงถึง 3 ล้านล้านบาท ก่อนเผชิญวิกฤติโควิด-19 น่าจับตาว่ารัฐบาลจะผลักดันยุทธศาสตร์และมาตรการใดเพิ่มเติม เพื่อสร้างแรงส่งไปถึงปี 2568 ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลจะประกาศวาระแห่งชาติ ในการผลักดันให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวของไทย

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า วันนี้ (2 เม.ย.) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ จะแสดงวิสัยทัศน์ “Thailand Tourism 2025” ขณะเดียวกันตนจะนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย

หลังจากกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดเวิร์กชอปครั้งใหญ่ ระดมสมองจากตัวแทนภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว (Tourism Hub) เพิ่มรายได้ทุกมิติ

“การท่องเที่ยวถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล หลังจากเวิร์กชอประดมสมองร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนทิศทางให้ได้ตามเป้าหมาย โดยปี 2568 จะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายมากขึ้น กว่าปี 2567 ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าหมายเชิงนโยบายทำรายได้รวมการท่องเที่ยวที่ 3.5 ล้านล้านบาท”

‘เศรษฐา’ โชว์วิชั่นท่องเที่ยวไทยปี 68  รัฐผนึกพลังเอกชนผงาด ‘อันดับ 1’

4 มาตรการยกระดับสู่ที่ 1 ด้านท่องเที่ยว

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จากวิสัยทัศน์ “Ignite Thailand จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” ของนายกฯ เศรษฐา ที่ตั้งเป้าผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆ 8 ด้าน โดยด้านที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว เช่น ศูนย์กลางการท่องเที่ยว และศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub)

“หลังจากได้ประชุมเวิร์กชอปภาคการท่องเที่ยวเมื่อกลางเดือน มี.ค. ได้ถอด 4 มาตรการยกระดับการท่องเที่ยว เพื่อจุดพลังศักยภาพของประเทศไทยให้เป็นที่ 1 การท่องเที่ยว”

4 มาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย

1. ทุกจังหวัด ทั้งเมืองหลัก และเมืองรอง ต้องเป็นเมืองท่องเที่ยว

2. ประเทศไทยจะไม่หลับใหล

3. ผลักดันการท่องเที่ยวให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลาง “One Visa Free Your Destination” ฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน รองรับฐานนักท่องเที่ยวกว่า 2,900 ล้านคน

4. แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว เช่น เวลาเปิดสถานบริการ เวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการเฉลิมฉลองในสนามกีฬา

‘เศรษฐา’ โชว์วิชั่นท่องเที่ยวไทยปี 68  รัฐผนึกพลังเอกชนผงาด ‘อันดับ 1’

 

ททท. ตั้งเป้าดึงต่างชาติ 39 ล้านคนปี 68

สำหรับเป้าหมายการทำงานของ ททท.ในปี 2568 จะดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยไม่น้อยกว่า 39,000,000 คน สร้างรายได้ตลาดต่างประเทศ 2,232,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดระยะไกล (Long-Haul) จำนวน 10,622,000 คน สร้างรายได้ 869,200 ล้านบาท และตลาดระยะใกล้ (Short-Haul) จำนวน 28,378,000 คน สร้างรายได้ 1,362,800 ล้านบาท

ส่วนเป้าหมายการทำงานในปี 2567 ททท.จะดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยไม่น้อยกว่า 35,055,000 คน สร้างรายได้ตลาดต่างประเทศ 1,921,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดระยะไกล 10,800,000 คน สร้างรายได้ 769,824 ล้านบาท และตลาดระยะใกล้ 24,250,000 คน สร้างรายได้ 1,151,176 ล้านบาท

ล่าสุด ททท. มีกำหนดจัดงาน “AIR-MAZING THAILAND” วันที่ 2-5 เม.ย. เชิญผู้ประกอบการสายการบิน 15-20 ราย เข้าร่วมงานเพื่อสำรวจศักยภาพและความพร้อมของสนามบินนานาชาติในไทย โดยแบ่งกลุ่มสำรวจออกเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-อู่ตะเภา และเส้นทาง กรุงเทพฯ-กระบี่-สุราษฎร์ธานี ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้กลยุทธ์การผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรสายการบิน เพื่อขนนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยให้ได้ตามเป้า

‘เศรษฐา’ โชว์วิชั่นท่องเที่ยวไทยปี 68  รัฐผนึกพลังเอกชนผงาด ‘อันดับ 1’

 

“แอร์ไลน์” โหมเปิดเส้นทางบินสู่ยุโรป

นายศิริปกรณ์ กล่าวต่อว่า ช่วงไตรมาส 2-4 ของปี 2567 จะมีสายการบินต่างๆ เปิดให้บริการเส้นทางบินใหม่ระหว่างไทยกับเมืองในประเทศกลุ่มตลาดระยะไกล (Long-Haul) อย่างต่อเนื่อง เช่น แอร์เอเชีย มีแผนเปิดให้บริการ 4 เส้นทางบินประจำสู่ยุโรปปลายปีนี้ ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวทั้งขาเข้าและขาออก (Inbound & Outbound) ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ธุรกิจสายการบินอยู่ได้ นอกจากนี้แอร์เอเชียยังมีแผนจะเปิดให้บริการเที่ยวบินประจำ เส้นทาง กรุงเทพฯ-อัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน ในปี 2568 อีกด้วย ขณะที่อีกสายการบิน Sunday Airlines จะเปิดเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) เส้นทาง สุราษฎร์ธานี-อัลมาตี เริ่มวันที่ 30 พ.ค. 2567

ด้านสายการบินอื่นๆ เช่น สายการบิน iberojet ในประเทศสเปน จะเปิดเส้นทางเที่ยวบินเช่าเหมาลำ กรุงเทพฯ-มาดริด เริ่มทำการบินวันที่ 30 พ.ค. 2567 โดยนักท่องเที่ยวที่เข้ามา ไม่ได้มีเฉพาะชาวสเปนเท่านั้น แต่ยังได้ชาวละตินอเมริกาที่บินเชื่อมเข้าสเปนอีกด้วย

ส่วนสายการบิน British Airways เสนอเปิดเส้นทางบินประจำ กรุงเทพฯ-ลอนดอน (แกตวิก) สหราชอาณาจักร ในช่วงตารางบินฤดูหนาว ต.ค. 2567 - มี.ค. 2568 จำนวน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สายการบิน Condor จะเปิดเส้นทางเที่ยวบินเช่าเหมาลำ กรุงเทพฯ-แฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ความถี่ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และ กรุงเทพฯ-ภูเก็ต ความถี่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เริ่มเดือน ก.ย. 2567

นอกจากนี้ สายการบิน LOT Polish Airlines ซึ่งขนนักท่องเที่ยวจากฝั่งยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ ออสเตรีย และเช็ก ที่ผ่านมาให้บริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำเข้าไทย ยังไม่ทำการบินประจำสักที ล่าสุดมีแผนจะเปิดให้บริการเที่ยวบินประจำในอนาคต ปัจจุบันอยู่ระหว่างการผลักดันร่วมกับ ททท.

“ในช่วงตารางบินฤดูร้อน 2567 ระยะเวลา 30 สัปดาห์ ตั้งแต่เดือน เม.ย.-ต.ค. มีจำนวนเที่ยวบินจากภูมิภาคยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวม 34,133 เที่ยวบิน สู่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ อู่ตะเภา และสมุย โดยคิดเป็นจำนวนที่นั่งรวมกว่า 10,525,923 ที่นั่ง”

‘เศรษฐา’ โชว์วิชั่นท่องเที่ยวไทยปี 68  รัฐผนึกพลังเอกชนผงาด ‘อันดับ 1’

 

สงกรานต์ 21 วัน สะพัด 52,500 ล้านบาท

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ส่งเสริมให้มีการทยอยจัดงานสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 1-21 เม.ย. 2567 เป็นระยะเวลา 21 วัน ในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อร่วมอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีอันงดงามของไทย พร้อมกับส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระจายรายได้สู่ชุมชน ภายใต้โครงการ “Maha Songkran World Water Festival เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567” ถือเป็นการตอบสนองภายหลังองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) มอบประกาศนียบัตรรับรองประเพณีสงกรานต์ไทยขึ้นเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษย์ชาติอย่างเป็นทางการด้วย

ททท. คาดการณ์จำนวนและรายได้ที่เกิดจากการส่งเสริมกิจกรรมสงกรานต์ตั้งแต่วันที่ 1-21 เมษายน 2567 จำนวน 21 วัน ไว้ว่าจะมีจำนวนการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศประมาณ 15.03 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยว 52,500 ล้านบาท อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 78%

‘เศรษฐา’ โชว์วิชั่นท่องเที่ยวไทยปี 68  รัฐผนึกพลังเอกชนผงาด ‘อันดับ 1’

สำหรับภูมิภาคที่มีจำนวนการเดินทางมากที่สุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 3.73 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 7,524 ล้านบาท รองลงมาคือ ภาคกลางรวมภาคตะวันตก 3.43 ล้านคน-ครั้ง รายได้ 7,060 ล้านบาท อันดับ 3 คือ ภาคตะวันออก 2.78 ล้านคน-ครั้ง รายได้ 10,600 ล้านบาท เฉพาะกรุงเทพฯ 1.38 ล้านคน-ครั้ง รายได้ 9,900 ล้านบาท

จากการส่งเสริมกิจกรรมสงกรานต์ 21 วัน จะช่วยกระตุ้นให้พื้นที่ที่ ททท. ดำเนินการจัดงานและให้การสนับสนุนกิจกรรม “Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567” จำนวน 6 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพฯ และ 5 พื้นที่ที่ ททท.ให้การสนับสนุน ได้แก่ สงขลา เชียงใหม่ สุโขทัย พิษณุโลก และแม่ฮ่องสอน เฉพาะ 5 พื้นที่ดังกล่าว คาดว่าจะมีจำนวนและรายได้ทางการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยประมาณ 2.29 ล้านคน-ครั้ง และมีรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 16,300 ล้านบาท

 

ชูไฮไลต์ “มหาสงกรานต์” ท้องสนามหลวง

นางสาวสุดาวรรณ รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวฯ กล่าวว่า สำหรับรายละเอียดการจัดงาน Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 ในวันที่ 11-15 เม.ย. 2567 ณ บริเวณถนนราชดำเนินกลางและพื้นที่ท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ โดยนำเสนอภาพลักษณ์ความสวยงามของประเพณีสงกรานต์ไทย ด้วยขบวนรถพาเหรดมหาสงกรานต์กว่า 20 ขบวน ได้แก่ ขบวนรถพระพุทธรูป ขบวนรถเทพีสงกรานต์ ประจำปี 2567 “มโหธรเทวี” เสด็จไสยาสน์ลืมเนตรเหนือหลังนกยูง ขบวนรถพาเหรด 16 จังหวัด พร้อมด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากนักแสดงและผู้ร่วมขบวนแห่กว่าพันคน พร้อมจัดกิจกรรมนำเสนอศิลปวัฒนธรรมไทย อัตลักษณ์ประเพณีสงกรานต์ 5 ภาค และซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ไทย บริเวณท้องสนามหลวง

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลแก่ชีวิตในโอกาสเถลิงศกใหม่ไทย ททท. ยังได้จัดทำโครงการ “72 ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว” นำเสนอ 72 เส้นทางแห่งศรัทธาเพื่อเสริมสิริมงคล สร้างความรุ่งเรืองแห่งชีวิต โดยเชื่อมโยงชุมชนที่มีศักยภาพและแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ จำนวน 72 เส้นทางทั่วประเทศใน 5 ภูมิภาค โดยแบ่งเป็นประเภทเส้นทางไหว้พระธาตุ เส้นทางตามรอยพระเถราจารย์ และเส้นทางขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เพื่อให้คนไทยได้ออกเดินทางสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในช่วงสงกรานต์วันปีใหม่ไทย พร้อมแนะนำร้านอาหารอร่อยในบริเวณใกล้เคียงให้ได้ลิ้มลองอีกด้วย

‘เศรษฐา’ โชว์วิชั่นท่องเที่ยวไทยปี 68  รัฐผนึกพลังเอกชนผงาด ‘อันดับ 1’