‘ไทยเบฟ’ กางโรดแมปยั่งยืน 5 ปีทุ่ม 4 พันล้านผงาดผู้นำภูมิภาค
เจาะแผน ไทยเบฟ เดินหน้าปรับโรงงานผลิตสินค้า ด้วยงบ 4,000 ล้านบาท ปรับการผลิตสินค้า มุ่งสู่องค์กรยั่งยืนระดับโลก
KEY
POINTS
- เจาะแผนไทยเบฟวางโรดแมปองค์กรสู่ความยั่งยืนในภูมิภาค-ระดับโลก
- ใช้งบ 4,000 ล้านบาทใน 5 ปีลงทุนปรับโรงงานใหม่
- ผนึกกำลังพาร์ทเนอร์-ชุมชน สานต่อโครงการเพื่อความยั่งยืน
- มีแผนเปิดตัวเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ใช้ขวดรูปแบบขวด rPET ปลายปีนี้
- ได้รับคัดเลือกสู่องค์กรต้นแบบความยั่งยืนระดับโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลกจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ประจำปี 2023 เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน
เจาะแผน ไทยเบฟ เดินหน้าปรับโรงงานผลิตสินค้า ด้วยงบ 4,000 ล้านบาท ปรับการผลิตสินค้า มุ่งสู่องค์กรยั่งยืนระดับโลก
ปี 2567 ท้าทายภาคธุรกิจในการนำพาองค์กรฝ่ามรสุม แรงเสียดทานจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อชะลอตัว พร้อมมุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน “ไทยเบฟ” องค์กรเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของไทยและภูมิภาค ทั้งกลุ่มเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ และแอลกอฮอล์ ด้วยมาร์เก็ตแคป ในปีก่อน อันดับ 9 ของเอเชีย มูลค่า 3.92 แสนล้านบาท ประกาศ Passion 2025 เพื่อสร้างการเติบโต “รายได้” และ “กำไร” เสริมแกร่งอาณาจักรเครื่องดื่มและอาหารควบคู่วิสัยทัศน์นำองค์กรเติบโตยั่งยืนในระดับภูมิภาค
ต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ฉายภาพกลุ่มไทยเบฟว่า ได้วางกลยุทธ์ผสมแผนความยั่งยืนไปในแผนธุรกิจ เพื่อนำพาองค์กรสร้างรายได้เติบโต ควบคู่การสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
โรดแมปยั่งยืนของไทยเบฟ วางกลยุทธ์ ESG “สรรสร้างการเติบโตที่ยังยืน” (Enabling Sustainable Growth) ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตลอดห่วงโซ่คุณค่า พร้อมลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ช่วง 5 ปี (2566-2570) ปรับโรงงานผลิตสินค้าร่วมลดคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2583 พร้อมเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็น 50% ลดการใช้น้ำต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ และมุ่งคืนน้ำสู่ธรรมชาติและสังคม (Water Replenishment) 100 %
“เราผสมผสานความยั่งยืนไปในทุกแผน เป้าหมายสูงสุดของกลยุทธ์ คือ นำพาองค์กรอยู่ได้อย่างยั่งยืนต่อไปในระยะยาวเป็น 100 ปี”
พร้อมจัดกิจกรรมความยั่งยืนผ่านการร่วมมือกับหน่วยงานนอกและชุมชนทั่วประเทศ จัดสรรงบ 500 ล้านบาท ในแต่ละปีสนับสนุนโครงการต่างๆ ซึ่งไทยเบฟขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการร่วมกับพันธมิตร 8 องค์กรเอกชนก่อตั้งเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย (Thailand Supply Chain Network หรือ TSCN) จัดโครงการพัฒนาคู่ค้า เช่น สัมมนาด้านการจัดการบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการจัดอบรมการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกให้กับคู่ค้าที่เป็นสมาชิก เป็นต้น
สำหรับความร่วมมือกับชุมชนได้จัดทำ “โครงการสมุยโมเดล” ตั้งแต่ปี 2562 ร่วมเก็บบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วหลังการบริโภค เพื่อสนับสนุนให้คู่ค้าและประชาชนมีส่วนร่วมลดปัญหาขยะบนเกาะ พร้อมขยายผลโครงการสู่เกาะสีชัง และมีแผนขยายต่อไปยังเกาะอื่น เช่น เกาะล้าน เกาะเสม็ด เป็นต้น
อีกหนึ่งโครงการที่ทำมา 24 ปีแล้วกับ “ไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาว” ได้แจกผ้าห่มจำนวน 200,000 ผืนต่อปี ให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยใช้ rPET เพื่อผลิตผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลกต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 และนำขวดพลาสติก PET กลับมาสู่กระบวนการรีไซเคิล ผลิตเป็นผ้าห่มได้แล้วทั้งสิ้น 30,400,000 ขวด รวมถึงทำโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย เริ่มมาตั้งแต่ปี 2559 มีเป้าหมายในการสร้างความตระหนักรู้และเปลี่ยนมุมมองของกลุ่มผู้บริโภคที่มีต่อผ้าขาวม้า ร่วมสร้างรายได้ให้ชุมชน ส่วนในต่างประเทศ ได้ร่วมมือกับชุมชน ทั้งเมียนมา เวียดนาม และสหราชอาณาจักร ทำโครงการส่งเสริมเรื่องความยั่งยืนเช่นกัน
"คนรุ่นใหม่ ต่างให้ความสำคัญและตื่นตัวในเรื่องสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น เพราะทุกคนต่างตระหนักเรื่องโลกร้อนที่เป็นปัญหาใกล้ตัวของทุกคน และมีความรุนแรงสูงขึ้น”
นอกจากนี้ได้ให้ความสำคัญกับการขยายกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มสอดรับผลิตภัณฑ์รักษ์โลก โดยมีแผนเปิดตัวเครื่องดื่มกลุ่ม นอนแอลกอฮอล์ที่ใช้ขวดในรูปแบบขวด rPET ปลายปีนี้
ภาพรวมกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มของไทยเบฟ มีการผลิตต่อปี 5,000 ล้านขวด เป็นขวดแก้วมากกว่า 2,000 ล้านขวด ขวดพลาสติก (เพ็ท) PET กว่า 2,000 ล้านขวด สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ทั้งหมด รวมถึงยังมีขวด PET สีเขียว เป็นผลิตภัณฑ์น้ำแร่ ได้จัดจุดเปิดรับขวดให้นำกลับไปรีไซเคิล
ต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ
อีกงานไฮไลต์ “Sustainability Expo (SX)” จัดขึ้นทุกปี ภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” ผสานความร่วมมือของเครือข่ายที่เป็นองค์กรด้านความยั่งยืนจากภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ทั้งในและต่างประเทศ ได้รับความสนใจสูงขึ้นทุกปี
ปีที่ผ่านมาไทยเบฟเข้าร่วมการรายงานด้านการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และการรายงานด้านน้ำ (Water Security) ของ Carbon Disclosure Project หรือ CDP ได้รับคะแนนประเมินระดับ A- ทั้ง 2 หมวด สะท้อนการเป็นองค์กรต้นแบบความยั่งยืนระดับโลก อีกทั้งได้รับคะแนนสูงสุด 91 คะแนนจาก 100 คะแนนในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลกจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ประจำปี 2023 เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน
รวมถึงได้คัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets Index) เป็นปีที่ 7 และ 8 ติดต่อกัน นอกจากเป็นบริษัทเครื่องดื่มแห่งเดียวที่ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ในปี 2023 โดยปีนี้ไทยเบฟได้รับคะแนนสูงสุดในมิติการกำกับดูแลและเศรษฐกิจ มิติสังคม และได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับสองในมิติสิ่งแวดล้อมเทียบคู่แข่งในอุตสาหกรรม