‘แดรี่ควีน’ ยักไหล่ ‘ไอศกรีมทุนจีน’ มองอยู่คนละตลาด มั่นใจวัตถุดิบพรีเมียม
โตสุดในรอบ 28 ปี นับตั้งแต่วันก่อตั้ง! “แดรี่ควีน ประเทศไทย” เผย ยอดขายปี 2566 ทุบ “นิวไฮ” จากเมนู Seasonal “ชาไทย-ทุเรียน-ข้าวเหนียวมะม่วง” ไม่หวั่นซอฟต์เสิร์ฟแดนมังกรบุกตลาด เชื่อ คุณภาพ-รสชาติยังถูกปากคนไทย ส่งแบรนด์ครองมาร์เก็ตแชร์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟอันดับ 1
“แดรี่ควีน” แบรนด์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟสัญชาติอเมริกันเข้ามาเปิดตลาดในไทยนานกว่า 28 ปีเต็มแล้ว โดยในปีนี้ “ธนกฤต กิตติพนาชนม์” ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไมเนอร์ ดีคิว จำกัด บริษัทในเครือ “ไมเนอร์ กรุ๊ป” ระบุว่า ปี 2566 เป็นปีที่ “แดรี่ควีน” สร้างยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีการเติบโตหลังจากการแพร่ระบาดใหญ่จบลง (ตั้งแต่ปี 2564 ถึง 2566) เฉลี่ยปีละ 30% โดยปัจจัยที่ทำให้แบรนด์เติบโต-ครองส่วนแบ่งตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟอันดับ 1 คือ โปรดักต์ “Seasonal” อาทิ บลิซซาร์ดปังกรอบชาไทย บลิซซาร์ดโอวัลตินภูเขาไฟ บลิซซาร์ดข้าวเหนียวมะม่วงน้ำกะทิ บลิซซาร์ดทุเรียนหมอนทอง เป็นต้น
“ธนกฤต” เปิดเผยว่า สินค้า “Seasonal” เหล่านี้ เป็น “Big Hit” ที่ทำยอดขายเฉลี่ยโตเกิน 15% มาโดยตลอด ส่งผลให้แบรนด์โกยยอดขายจากความแตกต่างด้วยโปรดักต์เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บลิซซาร์ดปังกรอบชาไทย” ที่เป็น “The best performing LTO” หรือสินค้าที่มีการจำหน่ายในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่สามารถทำยอดขายได้มากที่สุด ด้วยยอดขาย “1 ล้านถ้วย” ภายใน 1 เดือน ทำให้สินค้าขาดตลาดราว 3 - 4 วัน โตเกินกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าว “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สอบถามความเห็นผู้บริหารถึงกรณีการเข้ามาบุกตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟจากแดนมังกรในปีที่ผ่านมา “ธนกฤต” ระบุว่า ตนไม่อยากมองว่า แบรนด์จีนเหล่านั้นเป็นคู่แข่งในตลาดเดียวกัน เนื่องจาก “จุดเริ่มต้น” และ “จุดยืน” แตกต่างกันตั้งแต่แรก แบรนด์ไอศกรีมจีนเริ่มต้นจากร้าน “สแตนด์อะโลน” แล้วค่อยเปิดร้านในรูปแบบ “คีออส” (Kiosk) ส่วน “แดรี่ควีน” เริ่มจากร้าน “คีออส” แล้วจึงมีแผนขยายสาขา “สแตนด์อะโลน” ในปีนี้
นอกจากนี้ หากดูเจาะจงเฉพาะตัวสินค้าจะพบว่า สินค้า “แดรี่ควีน” มีความพรีเมียมมากขึ้นโดยที่ไม่ทำให้สูญเสียฐานลูกค้าบางกลุ่มไป เนื่องจากช่วงราคาที่กว้างมากตั้งแต่ราคา 12 บาท ไปจนถึง 499 บาท โดยเมนู “บลิซซาร์ด” ยังเป็นสินค้าเรือธงด้วยสัดส่วน 65% ตามมาด้วย “เค้กไอศกรีม” และเมนูเครื่องดื่มที่ออกวางขายเป็นบางโอกาส อย่าง “ลิ้นจี่” และ “ส้มยูซุ” ในปีที่ผ่านมา “ธนกฤต” ระบุว่า “แดรี่ควีน” ไม่ต้องการเป็นผู้นำในทุกๆ เรื่อง อาจจะรอดูทิศทางลม-เทรนด์ที่กำลังมาแรงในช่วงเวลานั้นๆ แล้วจึงวางขายก่อนก็ได้ เพื่อให้มั่นใจว่า โปรดักต์ที่ออกมาใหม่จะสามารถทำเงินให้กับ “แฟรนไชส์ซี” ได้จริงๆ
ทั้งนี้ ปี 2566 เป็นปีที่ “แดรี่ควีน” มีการปรับเพิ่มราคา “บลิซซาร์ด” จากขนาดเล็กสุด “35 บาท” เป็น “49 บาท” แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ยอดขายตกลงแต่อย่างใด “กรุงเทพธุรกิจ” สอบถามข้อมูลเชิงลึกจากผู้บริหารถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับขึ้นราคา ซึ่ง “ธนกฤต” ระบุว่า สาเหตุมาจากต้นทุนวัตถุดิบในท้องตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้น และไม่ได้มีผลกระทบกับยอดขายเมนูดังกล่าวเลย แต่ส่วนที่กระทบมากที่สุด คือสินค้าไอศกรีมโคน เพราะเป็นสินค้า “Entry Price Point” หรือสินค้าที่มีช่วงราคาอยู่ในระดับเริ่มต้น
ด้านเป้าหมายในปีนี้ “แดรี่ควีน” มีแผนรีโนเวตสาขาเดิมที่มีอยู่ 80 สาขา ผุดสาขารูปแบบ “Lounge Concept” 10 สาขาภายในปี 2567 โดยรูปแบบดังกล่าวจะเน้นพื้นที่รับรองสำหรับนั่งรับประทานที่ร้าน และยังมีบริการในรูปแบบ “EV Truck” ตั้งเป้าขยายให้ครบ 5 คัน โดยทั้งสองรูปแบบจะนำร่องในกรุงเทพ-ปริมณฑลก่อน โดยทางแบรนด์เป็นผู้ริเริ่มทดลอง ก่อนส่งมอบให้ “แฟรนไชส์ซี” ดำเนินการในขั้นตอนต่อไป