'สงคราม' ขยายวงฉุด 'ท่องเที่ยวไทย' เอกชนแนะรัฐงัดยาแรงปลุกโค้งสุดท้าย

'สงคราม' ขยายวงฉุด 'ท่องเที่ยวไทย' เอกชนแนะรัฐงัดยาแรงปลุกโค้งสุดท้าย

เอกชนหวั่น 'สงคราม' ลุกลาม ฉุดเชื่อมั่นการเดินทาง 'แอตต้า' ชี้ 'ท่องเที่ยวไทย' ฝ่าความเสี่ยงหนักปี 67 ลุ้นทัวริสต์ต่างชาติถึงเป้า 35 ล้านคน ส่วนปี 66 คาดปิดตัวเลข 27-28 ล้านคน หลัง 2 ตลาดหลัก จีน-ญี่ปุ่น เผชิญปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ 'สทท.' แนะรัฐงัดยาแรงปลุก 'ไทยเที่ยวไทย'

‘ท่องเที่ยว’ หวั่นสงครามลุกลามฉุดเชื่อมั่น

นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภาคเอกชนท่องเที่ยวเป็นห่วงอย่างมากว่าผลกระทบของสงครามจะลุกลาม ฉุดความเชื่อมั่นด้านการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แม้ปัจจุบันภาพรวมจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก จำกัดเฉพาะบางตลาด เช่น รัสเซีย และอิสราเอล แต่ถ้าสถานการณ์ลุกลาม ขยายเป็นวงกว้าง ย่อมส่งผลกระทบโดยตรง จึงอยากเห็นการตั้งโต๊ะเจรจากันเพื่อยุติสงครามโดยเร็ว

ทั้งนี้ เมื่อดูเฉพาะนักท่องเที่ยวรัสเซีย มีจำนวนสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2566 จนถึงปัจจุบันเกิน 1 ล้านคน เลือกมาเที่ยวประเทศไทยเพราะปลอดภัยกว่า ส่วนนักท่องเที่ยวอิสราเอล มีจำนวนสะสม 1.9 แสนคน ถ้าไม่มีสงคราม น่าจะได้มากกว่า 2 แสนคนในปีนี้

ลุ้นต่างชาติเที่ยวไทย 27-28 ล้านคนปีนี้

นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า ภาพรวมตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยตลอดปี 2566 น่าจะปิดที่จำนวน 27-28 ล้านคน เพราะยังขาดนักท่องเที่ยวจาก 2 ตลาดหลักอย่างจีนและญี่ปุ่น ที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนักจากปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ

ส่วนแนวโน้มปี 2567 น่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากปีนี้ แต่จะไปถึงเป้าหมายตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งไว้อย่างน้อย 35 ล้านคนหรือไม่ ต้องดูว่าแต่ละตลาดมีความพร้อมมากแค่ไหน เพราะอย่างตลาดรัสเซียยังมีสงคราม มากน้อยก็ถือว่ากระทบ ด้านอิสราเอล นักท่องเที่ยวน่าจะขาดหายไปบ้าง ขณะที่ตลาดอื่นๆ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงคราม ต้องเร่งฟื้นกลับสู่ภาวะปกติให้ได้อย่างน้อย 80% ก็ถือว่าน่าพอใจ จากปี 2566 ที่กลับมา 60-70% แล้ว

“บางตลาดอย่างจีนและญี่ปุ่นที่ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวยังกลับมาค่อนข้างน้อย ก็ต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นให้ถูกจุด เช่น ตลาดจีน ต้องเร่งแก้ไขภาพลักษณ์เชิงลบด้านความปลอดภัยให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว เพื่อสร้างแรงส่งที่ดีตั้งแต่เดือน พ.ย.นี้ สู่ปี 2567 ที่น่าจะเริ่มเห็นการกลับมาชัดเจนในช่วงเทศกาลตรุษจีน”

‘แอตต้า’ ชี้ปี 67 ‘ท่องเที่ยว’ พระเอกอ่อนไหว

นายกแอตต้า กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 จะยังคงรับบทพระเอกพยุงเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องจากปี 2566 แต่เป็นพระเอกที่อ่อนไหว เพราะมีความเสี่ยงที่ต้องจับตา เช่น ภาวะสงคราม นอกจากนี้ปัจจัยด้านซัพพลายเที่ยวบินยังไม่กลับมาเป็นปกติ จะให้คาดหวังเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเที่ยวไทย 40 ล้านคนเหมือนเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาดได้อย่างไร แต่เป้าหมายที่ ททท. ตั้งไว้ 35 ล้านคนก็ถือว่าไม่ขี้เหร่ ยังพอได้ ภาครัฐและเอกชนท่องเที่ยวจึงต้องเร่งเตรียมความพร้อม ส่งเสริมความเชื่อมั่นให้ได้ และยกระดับบริการให้ดีขึ้น

 

สทท. แนะรัฐกระตุก ‘ไทยเที่ยวไทย’ โค้งท้าย

นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ภาคท่องเที่ยวต้องเร่งรัดหาตลาดอื่นๆ เพิ่มเติมในไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวชาวไทย สนับสนุนให้คนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมภายนอก ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ สงครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาส รวมถึงเหตุอื่นที่อาจเกิดขึ้น เพื่อรักษาการจ้างงาน และช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวที่กลับมารีสตาร์ตสามารถมีรายได้หล่อเลี้ยงต่อได้

“ผลกระทบสงครามเดิมที่มีอยู่ยังไม่หมดไป ต้องมาเผชิญกับสงครามใหม่ระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสอีก ทำให้สภาพแวดล้อมภายนอกที่ไม่ดีฉุดเศรษฐกิจทั้งทั่วโลกและในประเทศไทยให้แย่ลง การเดินทางท่องเที่ยวจะถูกกระทบอีกครั้ง เพราะคนกังวลมากขึ้น ทำให้ภาครัฐต้องมีโครงการกระตุ้นเหมือนบูสเตอร์ช็อตเข้ามาช่วย ไม่เช่นนั้นอาจไปไม่ถึงเป้าหมายที่อยากเห็นตลาดไทยเที่ยวไทย 200 ล้านคน-ครั้ง”

การออกมาตรการสนับสนุนตลาดไทยเที่ยวไทย สามารถดำเนินควบคู่กับกลยุทธ์ดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายหรือกลุ่มคนมีเงิน ซึ่งใช้กลยุทธ์เหมือนกันทั่วโลก อาทิ จีน ที่ต้องการเพียง 3-5% จากกลุ่มคนเดินทางเที่ยวต่างประเทศเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจจะไม่ดี แต่คนรวยก็ไม่เคยจนอยู่ดี

“ท่องเที่ยวไทยไม่ได้มีแค่จังหวัดหลักๆ อย่างเชียงใหม่หรือภูเก็ตเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายจังหวัดทั่วทุกภูมิภาคที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ ทั้งตลาดไทยเที่ยวไทยและต่างชาติเที่ยวไทย โดยตลาดไทยเที่ยวไทยจะเข้ามาแก้ไขปัญหาคอขวดของสายการบินที่ปริมาณเที่ยวบินยังกลับมาไม่เต็มที่ เข้ามาเติมเต็มเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศได้มากขึ้น” ประธาน สทท. กล่าว